เลี้ยงลูกต้องมีสติ: 8 วิธีเลี้ยงลูก ที่พ่อแม่ยุคใหม่ ต้องเข้าใจให้ไวและให้ทัน

lead image

รวมแนวคิดที่ช่วยให้เข้าใจศาสตร์และศิลป์ของการเป็นพ่อแม่ 8 วิธีเลี้ยงลูก ที่พ่อแม่ยุคใหม่ ต้องเข้าใจให้ไวและให้ทัน

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เลี้ยงลูกต้องมีสติ ! วิธีเลี้ยงลูก ไม่มีคู่มือสำเร็จรูป แต่มีแนวทางที่ช่วยให้เราเป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน บทความนี้ รวบรวมแนวคิดที่จะช่วยให้คุณเข้าใจศาสตร์และศิลป์ ของการเป็นพ่อแม่ ในมุมที่ลึกซึ้งขึ้น

วิธีเลี้ยงลูก

เลี้ยงลูกต้องมีสติ : 8 วิธีเลี้ยงลูก ที่พ่อแม่ยุคใหม่ ต้องเข้าใจให้ไวและให้ทัน

1. แค่อยู่ตรงนั้น: การเลี้ยงลูกเรื่องเรียบง่ายที่ซับซ้อน

ความสมบูรณ์แบบในการเลี้ยงลูก เป็นเพียงภาพลวงตาที่พ่อแม่หลายคนไล่ล่า แต่ ดร.อลิซา เพรสแมน นักจิตวิทยาพัฒนาการชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา เน้นย้ำว่า สิ่งที่เด็กต้องการจริง ๆ ไม่ใช่พ่อแม่ในอุดมคติ ที่ไม่มีข้อผิดพลาด แต่เป็นพ่อแม่ที่ “อยู่ตรงนั้น” เมื่อพวกเขาต้องการ เมื่อลูกกำลังเผชิญกับพายุอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความกลัว หรือความเศร้า การที่คุณนั่งลงข้าง ๆ พวกเขา แทนที่จะรีบแก้ไข หรือบอกให้หยุดร้องไห้ คือการสร้าง “ความผูกพันที่มั่นคง” (secure attachment) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็ก

2. รู้จักตัวเองก่อนเลี้ยงลูก: พลังลับของพ่อแม่ที่เข้มแข็ง

การเลี้ยงลูกอย่างมีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการเข้าใจตัวเอง คำถามที่พ่อแม่ควรถามตัวเองคือ:

  • เรามีบาดแผลจากวัยเด็กที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาหรือไม่?
  • ความคาดหวังของเราต่อ “ลูกที่ดี” มาจากไหน?
  • เราตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูกด้วยอารมณ์หรือด้วยความเข้าใจ?

ลองตั้งคำถามว่า “เราอยากให้ลูกจดจำเราในฐานะพ่อแม่แบบไหน?” จากนั้นทบทวนทุกวัน ว่าการกระทำของเราสอดคล้องกับสิ่งที่ตั้งใจไว้หรือไม่ การสะท้อนตัวเองอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณเลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ หรือแรงผลักดันจากบาดแผลในอดีต

3. ลูกแต่ละคน คู่มือคนละเล่ม: ศิลปะของการปรับตัวตามเด็ก

ทฤษฎีอุปนิสัยพื้นฐานของ Thomas & Chess แบ่งเด็กออกเป็นหลายประเภท เช่น:

  • เด็กกล้วยไม้ (Orchid child): เด็กที่อ่อนไหว ต้องการการดูแลแบบเฉพาะตัว แต่เมื่อได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสม จะเติบโตเป็นดอกไม้ที่สวยงามและพิเศษ
  • เด็กแดนดิไลออน (Dandelion child): เด็กที่แข็งแรง ปรับตัวง่าย เลี้ยงง่าย เหมือนดอกแดนดิไลออนที่เติบโตได้ในทุกสภาพแวดล้อม

การสังเกต และเข้าใจธรรมชาติของลูกแต่ละคน จะช่วยให้คุณปรับวิธีการเลี้ยงดูให้เหมาะสม แทนที่จะใช้วิธีเดียวกันกับลูกทุกคน ซึ่งอาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีเท่าที่ควร

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

4. รักมากไป จนกลายเป็นควบคุม: หลุมพรางของการเป็นพ่อแม่ยุคใหม่

จูลี ลิธคอทท์-เฮมส์ ผู้เขียนหนังสือ “How to Raise an Adult” เตือนเรื่อง Over-Parenting หรือการเลี้ยงลูกแบบจัดการทุกอย่างให้ ซึ่งเกิดจากความรัก และความกลัวว่าลูกจะล้มเหลว แต่การเข้าไปแก้ปัญหาทุกอย่างแทนลูก กลับทำให้พวกเขาขาดโอกาส ในการพัฒนาทักษะสำคัญ เช่น ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (resilience) และความสามารถในการฟื้นตัวจากความล้มเหลว

พ่อแม่ที่ดีไม่ใช่คนที่ทำให้ลูกไม่มีวันล้ม แต่เป็นคนที่สอนให้ลูกลุกขึ้นยืนได้เองเมื่อล้ม และยืนอยู่เคียงข้างเพื่อให้กำลังใจ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

5. สื่อสารกับลูกตามวัย: ปรับภาษาให้เข้าถึงหัวใจเด็ก

ดร.แดน ซีเกล ผู้เขียนหนังสือ “The Whole-Brain Child” แนะนำหลักการ “Connect Before Correct” หรือ “เชื่อมใจก่อนค่อยสอน” โดยเน้นว่าพ่อแม่ต้องปรับตัวในการสื่อสาร ไม่ใช่คาดหวังให้ลูกเข้าใจเรา

เมื่อเราเข้าใจว่าสมองของเด็กทำงานต่างจากผู้ใหญ่ เราจะสื่อสารได้ดีขึ้น:

  • เด็กเล็ก: ใช้สมองส่วนอารมณ์มากกว่าส่วนเหตุผล ต้องการการสื่อสารผ่านความอบอุ่นทางกายภาพ น้ำเสียงที่อ่อนโยน และท่าทางที่แสดงถึงความรัก
  • วัยรุ่น: ต้องการพื้นที่ปลอดภัยที่ไม่ถูกตัดสิน เพื่อให้กล้าเปิดใจพูดคุย

6. วินัยคือความรัก: ขอบเขตที่ปลอดภัยสำหรับการเติบโต

ดร.เจน เนลสัน ผู้พัฒนาแนวคิด Positive Discipline ชี้ให้เห็นว่า การตั้งขอบเขตไม่ใช่การควบคุม แต่เป็นการสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับลูก เด็กจะรู้สึกมั่นคง เมื่อโลกของพวกเขามีกฎเกณฑ์ ที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ และที่สำคัญคือ พวกเขารู้ว่าพ่อแม่ยังรักพวกเขา แม้ในยามที่พวกเขาทำผิด การสร้างวินัยด้วยความเมตตาและหนักแน่น ไม่ใช่ด้วยความโกรธหรือการลงโทษ จะช่วยให้เด็กเติบโตขึ้นด้วยความเคารพ ไม่ใช่ความกลัว

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

7. คำชมไม่เท่ากับความมั่นใจ: ทักษะคือรากฐานของการเห็นคุณค่าในตนเอง

แคโรล ดเว็ค ผู้คิดค้นทฤษฎี Growth Mindset เตือนว่า การบอกว่า “ลูกเก่ง” บ่อย ๆ โดยไม่มีผลงานจริงรองรับ อาจทำให้เกิดความมั่นใจที่เปราะบาง ความมั่นใจที่แท้จริงเกิดจากการได้พัฒนาทักษะจริงผ่านการลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน งานศิลปะ กีฬา หรือกิจกรรมอื่น ๆ เมื่อเด็กเห็นว่าตัวเองสามารถฝ่าฟันอุปสรรค และทำสิ่งต่าง ๆ สำเร็จได้ด้วยความพยายาม พวกเขาจะพัฒนาความภาคภูมิใจในตนเองที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

8. เลี้ยงลูก คือการยอมรับว่าเราควบคุมเขาไม่ได้: บทเรียนสุดท้ายของการปล่อยวาง

การเลี้ยงลูก เป็นการเดินทางที่ท้าทายที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต เพราะมันเรียกร้องให้เราต้องยอมรับความจริงที่ว่า ลูกไม่ใช่ส่วนขยายของเรา พ่อแม่ควรโฟกัสที่การสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ให้ลูกได้สำรวจ ทดลอง และค้นพบตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา เราไม่สามารถเลือกเส้นทางให้ลูกได้ แต่เราสามารถเป็นแสงสว่างที่ช่วยนำทางพวกเขา เป็นบ้านที่อบอุ่นที่พวกเขาสามารถกลับมาได้เสมอ และเป็นกำลังใจที่คอยสนับสนุนพวกเขาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

การเลี้ยงลูกไม่มีสูตรสำเร็จ แต่มีหลักการที่ช่วยนำทาง การเข้าใจตัวเอง เข้าใจลูก และเข้าใจว่าความรักที่แท้จริงคืออะไร จะช่วยให้คุณเป็นพ่อแม่ที่ลูกต้องการ ไม่ใช่พ่อแม่ในอุดมคติที่สังคมกำหนด และจงจำไว้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ลูกจดจำไม่ใช่บ้านที่สมบูรณ์แบบ หรือของเล่นราคาแพง แต่เป็นช่วงเวลาที่คุณอยู่ตรงนั้น เคียงข้างพวกเขา ในทุกก้าวของการเติบโต

ที่มา: brainfit

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

อดนอนเพราะเลี้ยงลูก! 10 วิธีรักษาสติและพลังงาน ฉบับแม่ลูกอ่อนนอนน้อย

50 สิ่งที่พ่อควรสอนลูกชาย ตั้งแต่ยังเล็ก บทเรียนที่ลูกชายจะใช้ได้ตลอดไป

100+ ชื่อเด็ก Gen Alpha ไอเดียตั้งชื่อเล่นลูกชายเท่ๆ ชื่อลูกสาวเพราะๆ

บทความโดย

PP.