เจอกันตรงกลาง ไม่ปล่อยปะละเลย กับพ่อแม่ยุคใหม่ที่หนีเทคโนโลยีไม่พ้น
เจอกันตรงกลาง
ในยุคสมัยปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตของผู้คนแบบแยกกันออกแทบไม่ได้ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในชีวิตผู้คนยุคนี้มากกว่าที่เราคิด ทั้งด้านการติดต่อสื่อสาร คมนาคม หรือแม้แต่การเลี้ยงดูลูก ผู้ปกครองควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรไม่ให้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกน้อยจนมาเกินไป เจอกันตรงกลาง ดีมั๊ย? นี่เป็นเรื่องเสวนาที่บริษัท HP เชิญ TheAsianParent ไปเข้าร่วม ภายใต้ชื่องาน “New Asian Learning Experience” นำโดย ปวิน วรพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ เอชพี อิงค์ ประเทศไทย, ศาสตราจารย์ ดร. สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และครอบครัวนักแสดง ชาตโยดม หิรัญยัษฐิติ และ ภรรยา สุนิสา เจทท์ ภายในงานได้มีการร่วมพูดคุยในหัวข้อเรื่องเกี่ยว กับ อนาคต การศึกษาและเทคโนโลยี
จากผลสำรวจพบว่าผู้ปกครองกังวลถึงอนาคตของลูก
ในยุคปัจจุบันที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด HP ได้ลงไปสำรวจความเห็นผู้ปกครองกลุ่มมิลเลเนียล จำนวน 3,177 คน จาก 7 ประเทศในเอเชียได้แก่ สิงคโปร์ อินเดียจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย พบว่า ผู้ปกครองมีความกังวลต่ออนาคตของลูกหลานเป็นเปอร์เซ็นต์สูงที่สุด เนื่องด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ความมั่นคงของการทำงานเริ่มส่งผลกระทบไปด้วย และโลกที่เปลี่ยนไปทำให้ทักษะที่จำเป็นในอนาคตเปลี่ยนไปจากอดีตเป็นอย่างมาก
ผู้ปกครองยุคใหม่อยากให้เด็กมีความสุขไปกับการทำงาน
เป็นเรื่องที่น่ายินดีเมื่อผลสำรวจออกมาบอกว่าผู้ปกครองยุคใหม่นั้นอยากให้ลูกของตนมีความสุขกับการทำงานและสิ่งที่ตัวเองทำ ต่างจากสมัยก่อนที่ผู้ปกครองมักไม่ค่อยสนใจความสุขของลูกเท่าไหร่นัก ผู้ปกครองยุคใหม่มักจะส่งเสริมลูกในสิ่งที่ลูกทำได้ดี และหวังว่าลูกจะมีชีวิตสังคมรอบข้างที่ทำให้เขามีความสุข
เจอกันตรงกลาง
เด็กยุคใหม่ไม่สามารถหนีเทคโนโลยีได้
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนนึงของชีวิตคนยุคนี้ไปแล้ว ทำให้เด็กแทบจะไม่สามารถออกห่างจากเทคโนโลยีได้เลย เพราะฉะนั้นผู้พูดในงานกล่าวว่า เราควรประยุกต์ใช้ทั้ง P-Learning คือการให้ลูกได้เรียนรู้จากสื่อสิ่งพิมพ์ที่ลูกสามารถจับต้องได้ เช่นนิทานเล่ม ควบคู่ไปกับ E-Learning ใช้คลิปวีดีโอใน Youtube ที่สอนลูกเรื่อง สี การนับเลข หรือ สัตว์ชนิดต่างๆ ก็สามารถช่วยพัฒนาการ รวมไปถึงการพัฒนาด้านความสร้างสรรค์ ของลูกได้เช่นกัน ผู้ปกครองต้องรู้จักแบ่งเวลาให้เพียงพอก็จะทำให้ลูกสามารถเติบโตได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน
ผู้ปกครองควรที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ของลูก
เจอกันตรงกลาง1
ผลสำรวจเผยว่ามีผู้ปกครองไม่น้อยที่ไม่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ของลูก และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามผู้ปกครองชาวเอเชียกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ยังส่งลูกไปเรียนที่สถาบันกวดวิชาซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากพอสมควร ผู้ปกครองควรหาเวลาที่จะได้ใช้อยู่กับลูกเพราะนอกจากจะทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีแล้ว ยังทำให้ความสัมพันธุ์ภายในครอบครัวดีขึ้นอีกด้วย
ผู้ปกครองมีความคาดหวังแต่สิ่งที่ทำกลับตรงข้าม
ในผลสำรวจกล่าวไว้ว่า ผู้ปกครองอยากให้ลูกได้เรียนรู้จากประสบการณ์ เช่นการออกไปเจอโลกภายนอก ไปเที่ยวเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ แต่ผู้ปกครองจำนวนมากยังคงให้เด็กปฏบัติอย่างเดิมคือ ส่งไปเรียนในโรงเรียนกวดวิชาและสนับสนุนให้เรียนรู้โดยการท่องจำ
เจอกันตรงกลาง2
ผลสำรวจแบ่งผู้ปกครองออกมาเป็น 5 ประเภท
กระบวนความคิดแบบกังวล(The Concerned)
ผู้ปกครองกลุ่มนี้เชื่อว่าการให้เด็กเข้าถึงเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อเด็ก และสนับสนุนให้มีการเรียนรู้ผ่านหนังสือ ตำราเท่านั้น เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีจะทำลายสมาธิเด็ก
กระบวนการคิดแบบสัจนิยม(The Realist)
ผู้ปกครองกลุ่มนี้อยากให้ลูกได้มีประสบการณ์ต่างๆ เช่นออกไปเล่นด้านนอก ไปเที่ยว ได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะพวกเขาเชื่อว่าลูกสามารถนำสถานการณ์นั้นไปปรับใช้ในห้องเรียนได้ แถมยังได้พัฒนาทักษะทางด้านความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย
กระบวนความคิดตามขนบ(The Typical)
ผู้ปกครองกลุ่มนี้ใช้แนวคิดทั้งสองอย่างทั้งแนวคิดแบบเก่าและผสมผสานเทคโนโลยีร่วมควบคู่กัน
กระบวนความคิดที่เน้นความประสบความสำเร็จ(the Overachiever)
ผู้ปกครองกลุ่มนี้จะผลักดันและกดดันลูกให้โดดเด่นในทุกๆด้าน เรียนต้องดี กีฬาต้องเด่น ดนตรีก็ต้องเยี่ยม
กระบวนความคิดแบบปลีกตัว(The Detached)
เป็นกลุ่มผู้ปกครองที่มักจะปลีกวิเวกจากกลุ่มอื่น และมักจะให้ลูกเรียนรู้ผ่านการ ท่องจำ ส่งไปสถาบันกวดวิชา และควบคุมเส้นทางการเรียนรู้ของลูกเสมอ
เจอกันครึ่งทาง2
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่พ่อและแม่ยุคใหม่ไม่สามารถเหลี่ยงเลี่ยงได้ แต่เราสามารถนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือให้เกิดประโยชน์กับการเรียนรู้ของลูกดีกว่าการไม่ให้เขาเข้าถึงเทคโนโลยีเลย เพราะอย่างไรก็ตามเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของโลกในอนาคต ผู้ปกครองยังจะสามารถเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกนอกห้องเรียนได้ด้วย เช่น พาเขาออกไปเที่ยว ได้เรียนรู้นอกบ้าน หรือ ให้ช่วยทำงานบ้านก็จะทำให้พัฒนาการของเขาดีขึ้น
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ :
ห้ามท้องด้วยเทคโนโลยี ถ้าแม่เข้าข่าย 7 ข้อนี้ หมอช่วยให้ตั้งครรภ์ไม่ได้
จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน วิชั่น เปิดตัวคอนแทคเลนส์รายวันชนิดใหม่ อีกขั้นกับเทคโนโลยีการออกแบบเลนส์ให้เข้ากับชั้นน้ำตา
9 เทคโนโลยีสุดล้ำที่ทำให้ชีวิตในบ้านง่ายขึ้น
https://th.nonilo.com
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!