ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม หรือ ผิวแพ้ง่าย ไม่ว่าจะมีสภาพผิวแบบไหนก็สามารถใช้ “อิมัลชั่น” ได้ทั้งนั้น ! เพราะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่จะช่วยฟื้นฟูผิวให้นุ่มชุ่มชื้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมีผิวหน้าที่ดี แต่.. หลายคนอาจจะยังเลือกไม่ถูกไม่รู้ว่าผิวแบบตัวเองควรใช้แบบไหน เพราะฉะนั้นวันนี้ TAP เลยขออาสามาแนะนำ วิธีเลือกอิมัลชั่น ว่าควรเลือกอย่างไรให้เหมาะกับผิวของตัวเองจะได้มีหน้าที่นุ่ม เด้ง ผิวฟู ผิวดูสุขภาพดี
แนะนำให้รู้จักอิมัลชั่นคืออะไร ?
อิมัลชั่น (Emulsion) คือไอเทมบำรุงผิวหน้าที่มีลักษณะเป็นเนื้อคล้ายกับน้ำนมมีความใกล้เคียงกับเนื้อโลชั่นแต่จะมีความเบาสบายผิวมากกว่าสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดี ไม่ทิ้งความเหนอะหนะไว้บนผิว และมีประสิทธิภาพการมอบความชุ่มชื้นให้กับผิวเทียบเท่ากับมอยส์เจอไรเซอร์รวมถึงครีมบำรุงผิวหน้า เป็นสกินแคร์บำรุงผิวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะมีเนื้อสัมผัสที่ดีไม่หนัก หรือ เบาจนเกินไป เหมาะกับการใช้ในอากาศของประเทศไทยที่ร้อนมาก ๆ ซึ่งอิมัลชั่นจะช่วยรักษาสมดุลของผิวทำให้ผิวไม่มัน หรือ แห้งจนเกินไป ช่วยคงความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี
บทความที่เกี่ยวข้อง : แนะนำ 10 มอยส์เจอไรเซอร์ ผิวมัน เพิ่มความชุ่มชื้น ปรับสมดุลผิว หน้าไม่มันเยิ้ม
3 ประเภทของอิมัลชั่นที่ได้รับความนิยม
1. อิมัลชั่นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
คนที่มีสภาพผิวแห้ง หรือ ผิวขาดน้ำ การใช้อิมัลชั่นสูตรที่ช่วยมอบความชุ่มชื้นให้กับผิวจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีมาก ๆ ซึ่งสารสกัดที่มักเป็นส่วนผสมในอิมัลชั่นสูตรนี้ อาทิ เช่น ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid), วิตามิน อี (Vitamin E) จะทำหน้าที่เติมน้ำให้กับผิวทำให้ผิวมีความนุ่ม หน้าเด้ง ซึ่งอิมัลชั่นสูตรนี้นอกจากคนที่มีสภาพผิวแห้งจะใช้ได้แล้วนั้น คนที่มีผิวผสม หรือ ผิวมันก็สามารถใช้ได้เช่นกัน แต่แนะนำให้ใช้ในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้หน้าเยิ้มได้ค่ะ
2. อิมัลชั่นเพื่อผิวกระจ่างใส ลดรอยดำ รอยแดง
สำหรับคนที่ปัญหาผิวหน้าหมอง ผิวไม่สดใส ผิวมีรอยสิว รอยดำ รอยแดง หรือ มีอาการอักเสบของผิวแนะนำให้ใช้อิมัลชั่นสูตรที่เน้นความกระจ่างใส และ ช่วยปลอบประโลมผิว ซึ่งอิมัลชั่นสูตรนี้มักจะมีส่วนผสมของ Niacinamide, Aloe Vera, Cica และ Green Tea เป็นต้น ซึ่งสารสกัดเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพในเรื่องของการช่วยลดรอยต่าง ๆ บนผิวหน้า ช่วยลดอาการอักเสบของผิว และเมื่อมารวมเข้ากับส่วนผสมจาก Vitamin C ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยปรับสภาพผิวให้มีความกระจ่างใสจึงยิ่งทำให้ผิวหน้าได้ฟื้นบำรุงให้มีความเปล่งปลั่ง ผิวสดใส ดูมีออร่าได้ดีมาก ๆ
3. อิมัลชั่นเพื่อผิวที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น
และสำหรับสาว ๆ ที่มีปัญหาริ้วรอยแห่งวัย หรือ รอยเหี่ยวย่นก่อนวัย การใช้อิมัลชั่นที่มีส่วนผสมของ Retinol (เรตินอล), Vitamin C (วิตามินซี), Vitamin E (วิตามินอี) รวมถึง Astaxanthin ซึ่งเป็นสารบำรุงผิวในกลุ่มของการช่วยต่อต้านริ้วรอย ช่วยฟื้นบำรุงผิวให้มีความแน่น ฟู ช่วยให้ผิวมีความกระชับเต่งตึง ซึ่งจะเหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยที่มีความหย่อนคล้อย อยากชะลอวัย หรือ คนที่ยังไม่มีปัญหาริ้วรอยแต่อยากใช้เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยก็สามารถใช้ได้เช่นกัน เพราะว่าการใช้สกินแคร์บำรุงผิวที่ช่วยในเรื่องของริ้วรอยยิ่งเริ่มเร็วยิ่งเห็นผลไว ช่วยชะลอวัยได้ไม่ให้หน้าแก่ได้จริง !
บอกต่อ วิธีเลือกอิมัลชั่น by TAP
1. วิธีเลือกอิมัลชั่น : จากเนื้อผลิตภัณฑ์
อิมัลชั่นเป็นการผสมกันระหว่างน้ำ และ น้ำมัน ทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์มีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละสูตร เพราะฉะนั้น วิธีเลือกอิมัลชั่น วิธีแรก คือควรเลือกจากเนื้อผลิตภัณฑ์เพื่อให้เหมาะกับความต้องการ
-
เนื้อผลิตภัณฑ์แบบน้ำในน้ำมัน (Water – in – Oil – Emulsion)
สำหรับอิมัลชั่นที่มีเนื้อเป็นแบบน้ำในน้ำมันจะเหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้ง – แห้งมาก เพราะว่าส่วนประกอบหลักของอิมัลชั่นจะเป็นน้ำมัน และมีน้ำเป็นอนุภาคกระจายตัวอยู่ในน้ำมัน ซึ่งอิมัลชั่นประเภทนี้จะช่วยมอบความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ดีในกรณีที่มีผิวแห้งมาก ๆ หรือมีปัญหาผิวแห้ง ผิวลอกเป็นขุย รับรองเลยว่าใช้อิมัลชั่นเนื้อแบบ Water – in – Oil แล้วช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้ชุ่มชื้นได้ดีแน่นอน
-
เนื้อผลิตภัณฑ์น้ำมันในน้ำ (Oil – in – Water – Emulsion)
อิมัลชั่นประเภทนี้จะตรงข้ามกับด้านบนเลยค่ะ เพราะว่าอิมัลชั่นประเภทนี้จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักและมีอนุภาคของน้ำมันกระจายตัวอยู่ทำให้เนื้ออิมัลชั่นมีความเบาสบายมากกว่ารวมถึงยังซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย และ รวดเร็วกว่า เพราะฉะนั้นเนื้อผลิตภัณฑ์แบบ Oil – in –Water จึงเหมาะสำหรับคนที่มีสภาพผิวผสม – ผิวมันมากกว่าแบบ Water – in – Oil นั่นเองค่ะ
2. วิธีเลือกอิมัลชั่น : จากส่วนผสม
อย่างที่ได้แนะนำไปเบื้องต้นเลยค่ะ ว่าอิมัลชั่นก็มีมากมายหลากหลายสูตรให้ได้เลือกใช้กัน เพื่อให้ตอบโจทย์กับความต้องการมากที่สุด เพราะฉะนั้นวิธีการเลือกอิมัลชั่นที่อยากแนะนำอีกหนึ่งวิธีที่ดีมาก ๆ คือควรเลือกจากส่วนผสมที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง อาทิ เช่น
- ผิวแห้ง : แนะนำให้เลือกอิมัลชั่นที่มีส่วนของไฮยาลูรอน เพราะจะช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นได้ดี
- ผิวมัน : ควรเลือกอิมัลชั่นที่มีส่วนผสมของ Niacinamide, Zinc หรือ สูตร Oil – Control เพราะว่าจะช่วยควบคุมความมันส่วนเกินทำให้ผิวหน้าไม่ผลิตน้ำมันออกมามากจนเกินไปแต่ยังคงสภาพผิวให้มีความสมดุล
- ผิวบอบบางแพ้ง่าย : แนะนำให้เลือกอิมัลชั่นที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ (Ceramide) เพราะเซราไมด์มีคุณสมบัติในการช่วยปลอบประโลมผิวจากอาการแพ้ และ อาการระคายเคืองได้ดีมาก ๆ หรือเลือกใช้อิมัลชั่นที่มีส่วนผสมมาจากธรรมชาติซึ่งจะมีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่า ซึ่งจะลดโอกาสที่ใช้แล้วจะเกิดอาการระคายเคืองได้นั่นเองค่ะ
- ผิวมีริ้วรอย : และสำหรับคนที่มีปัญหาริ้วรอยควรเลือกใช้อิมัลชั่นที่มีส่วนผสมของเรตินอล (Retinol) และ วิตามินซี เพราะจะช่วยต่อต้านริ้วรอย ต่อต้านอนุมูลอิสระที่มาทำร้ายผิว ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวพร้อมฟื้นฟูผิวที่มีริ้วรอยให้มีความกระชับเต่งตึงมากยิ่งขึ้น
5 ประโยชน์ของการใช้อิมัลชั่น
- ช่วยบำรุงผิวให้มีความนุ่มชุ่มชื้น ใช้แล้วผิวหน้าจะมีความเด้งฟู
- รักษาความชุ่มชื้นและน้ำในชั้นผิว ทำให้ผิวไม่ขาดน้ำ
- ปรับสภาพผิวให้มีความสมดุล ทำให้ผิวหน้าไม่มัน หรือ แห้งจนเกินไป
- เสริมเกราะป้องกันตามธรรมชาติของผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
- ช่วยให้ผิวมีความกระจ่างใส เปล่งปลั่ง ลดสิว ลดริ้วรอย (ขึ้นอยู่กับแต่ละสูตรที่เลือกใช้)
และนี่ก็เป็น วิธีเลือกอิมัลชั่น ที่ TAP ได้รวบรวมมาฝากบอกเลยว่าถ้าใครอยากใช้อิมัลชั่นแล้วเห็นผลเร็ว เห็นผลจริง สภาพผิวหน้าฟื้นฟูได้เร็วแนะนำให้ลองใช้วิธีเหล่านี้ในการเลือกซื้ออิมัลชั่นได้เลยค่ะ รับรองว่าผิวหน้าปังแน่นอน !
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
10 เดย์ครีม ยี่ห้อไหนดี บำรุงผิว ไม่เหนียวเหนอะหนะ เติมความชุ่มชื้นตลอดวัน
แนะนำ 10 เซรั่ม AHA สกินแคร์หน้าใส ลดรอยสิว ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
10 เซรั่ม Tea Tree ยี่ห้อไหนดี ช่วยลดสิว ปลอบประโลมผิว ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง
ที่มา : voguebeauty
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!