ลูกกลัวคนแปลกหน้า วิธีแก้ปัญหาควรทำอย่างไร ?

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เวลาที่พาลูกออกนอกบ้าน หรือแค่พาออกไปเดินเล่น แล้วต้องไปเจอคนอื่น ลูกจะกลัวมาก ร้องไห้เสียงดัง ไม่เล่นกับใครเลย ปัญหาที่ ลูกกลัวคนแปลกหน้า คิดว่าแม่ลูกอ่อนหลายท่านคงเจอกับตัวแน่ ๆ ใช่ไหมคะ โดยความรุนแรงในการแสดงออกของเด็กแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป ดังนั้นจำเป็นช่วยกันพูดคุยและหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสม

 

วิธีที่ช่วยลูกลดอาการที่ ลูกกลัวคนแปลกหน้า

ลูกกลัวคนแปลกหน้า อาการแบบนี้มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Stranger Anxiety ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการและอาการปกติที่สามารถพบได้ในเด็กอายุ 7-8 เดือน ที่เป็นช่วงวัยกำลังเริ่มมีความสนใจสิ่งรอบข้างมากยิ่งขึ้น ลูกกลัวคนแปลกหน้า จะเริ่มมีพฤติกรรมที่แตกต่าง เมื่อเจอพ่อแม่ และคนแปลกหน้า เช่น การร้องไห้เสียงดัง หรือหันหน้าหนีเข้าหาตัวแม่ เกาะแม่อย่างเหนียวแน่นมากขึ้น

โดยความรุนแรงในการแสดงออกของเด็กแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป เมื่อโตขึ้นเดินวิ่งได้ ก็อาจจะวิ่งหนีหรือเข้าไปหลบหลังแม่แทน ไม่ยอมสบตา ถ้าลูกกลัวคนแปลกหน้ามากก็อาจแสดงออกเป็นพฤติกรรมก้าวร้าวอาละวาดแทน ซึ่งทั่วไปแล้วอาการที่ ลูกกลัวคนแปลกหน้า จะดีขึ้นเมื่อเด็กโตขึ้น แต่ในเด็กบางคนอาจมีพื้นอารมณ์ที่มีการปรับตัวได้ค่อนข้างช้า เป็นเด็กขี้อาย ไม่ค่อยกล้าแสดงออก หรืออาจจะมีส่วนที่เกิดได้จากกรรมพันธุ์ที่พ่อแม่อาจเป็นคนขี้อาย พูดน้อย เช่นเดียวกัน ซึ่งจำเป็นช่วยกันพูดคุยและหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสม ดังนี้

  • ยอมรับและเข้าใจในความกลัวคนแปลกหน้าของลูกว่าเป็นพัฒนาการปกติที่อาจเกิดขึ้นได้กับเด็กในวัยนี้
  • หากพ่อแม่เข้าใจพื้นฐานของลูกว่าเป็นเด็กขี้อาย ขี้กลัว ควรอธิบายให้ผู้ใหญ่ ญาติ ๆ คนในครอบครัวเข้าใจ เพื่อจะหาวิธีเข้าหาลูกอย่างเหมาะ เช่น อาจมีระยะห่างกับเด็กก่อนแนะนำตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงช้า ๆ เบา ๆ แล้วค่อย ๆ ใช้สัมผัสอย่างเบา ๆ จนเด็กคุ้นเคยแล้วค่อยอุ้มได้
  • ถ้าเป็นลูก หลาน ในวัยที่เดินได้ ให้ลดระดับลงมาพูดคุยในระดับเดียวกับเด็ก พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และสบตาขณะที่พูดดูนะคะ การได้บอกทุกคนล่วงหน้าเป็นข้อดีอีกอย่างที่จะไม่ทำให้คนอุ้มรู้สึกแย่เวลาที่เจอเจ้าตัวเล็กร้องไห้ไปด้วย
  • เวลาที่แนะนำให้ลูกรู้จักคนที่ไม่คุ้นเคย คุณแม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ ๆ คอยอุ้มหรืออยู่ข้าง ๆ ปลอบและพูดให้ลูกมั่นใจว่า ลูกไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ คนนี้ไม่เป็นอันตราย เป็นคนที่แม่รู้จัก และแสดงออกให้ลูกเห็นว่าผู้ปกครองคุ้นเคยกับคนที่ลูกเห็นอย่างไร แต่ถ้าลูกยังมีความกลัว ร้องไห้ไม่หยุด ก็ควรจะพาลูกออกไปจากจุดนั้นก่อน เพื่อไม่เป็นการฝืนลูกหรือปล่อยให้ลูกกลัวจนร้องไห้ไม่หยุด
  • ไม่ควรว่าลูกในทางลบ เช่น ทำไมถึงเป็นเด็กขี้กลัว ทำไมไม่กล้า ทำไมไม่เหมือนเด็กคนอื่น เพราะจะยิ่งทำให้ลูกต่อต้าน เสียความมั่นใจ และเกิดความกลัวเพิ่มเข้าไปอีก
  • หลักการลดความกลัวคนแปลกหน้าของลูก คือ การให้ลูกได้ค่อย ๆ เผชิญกับความกลัวนั้นทีละเล็กละน้อย โดยมีพ่อแม่อยู่ข้าง ๆ ให้คำชมเมื่อลูกทำได้ เช่น การพาไปในสถานที่สาธารณะให้ได้เห็นคนมากหน้าหลายตาพร้อมกับทำกิจกรรมที่ลูกชอบไปด้วย อย่างพาไปสนามเด็กเล่น สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์สำหรับเด็ก เป็นต้น
  • สิ่งสำคัญที่สุดในการช่วยลูกลดความกลัวลงไปได้ ก็คือ การอดทนและรอคอยของพ่อแม่นั่นเอง เพราะเด็กแต่ละคนมีพื้นฐานอารมณ์และการปรับตัวที่ไม่เหมือนกัน พ่อแม่ควรให้เวลากับลูกค่อย ๆ ปรับตัว ค่อย ๆ ฝึกลดความกลัวบ่อย ๆ สุดท้ายแล้วเมื่อลูกโตขึ้นอาการนี้ก็จะค่อย ๆ หายไปและดีขึ้นได้ค่ะ

บทความเพิ่มเติม : 6 โรงเรียนสอนเด็กทำอาหาร บรรยากาศน่าเรียน พาลูกไปทำกิจกรรมสนุกกัน!

 

สอนลูกให้มีไหวพริบและปลอดภัยจากคนแปลกหน้า

มีวิธีไหนบ้างที่จะ สอนลูก ให้มีไหวพริบ และ ปลอดภัยจากคนแปลกหน้าการสอนลูกให้รู้จักระวังภัยจากคนแปลกหน้าไว้เป็นเรื่องไม่เสียหาย แต่อย่างไรก็ดี เรากำชับลูกได้ถูกจุดหรือเปล่า ? การบอกห้ามลูกพูดกับคนแปลกหน้าทุกคนไม่ใช่จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีที่จะ สอนลูก ให้เค้ามีไหวพริบ และปลอดภัยจากคนแปลกหน้า ที่อาจเข้ามาปฏิสัมพันธ์กับลูก ๆ ได้

เรามักได้ยินข่าวเกี่ยวกับการลักพาตัวเด็ก การกระทำอนาจารกับเด็ก หรือผู้ที่มีปัญหาทางจิตที่เชื่อว่าลูกคนอื่นเป็นลูกตัวเองอยู่บ่อย ๆ ในฐานะผู้ปกครอง เรามักรู้สึกกังวลทุกครั้งที่ได้ยินข่าวทำนองนี้ และสอนลูกไปต่าง ๆ นานา แต่เรากำลังสะกดจิตให้ตัวเราเองและตัวเด็กกลัวมากเกินไปหรือเปล่า ? แน่นอนว่าคนแปลกหน้าส่วนใหญ่ไม่ใช่คนร้ายที่จู่ ๆ จะเที่ยวไปลักพาตัวเด็ก อันที่จริง การสอนให้ลูกระมัดระวังคนแปลกหน้าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าคุณกรอกหูลูกแต่เรื่องร้าย ๆ มากเกินไปก็อาจทำให้เด็กมีปัญหาด้านการเข้าสังคม และอาจยิ่งเป็นภัยต่อตัวเด็กมากขึ้น

บทความเพิ่มเติม : 8 สถานที่เรียนศิลปะ พาลูกไปวาดรูป กิจกรรมที่เด็กหลายคนใฝ่ฝัน!

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

3 ความเชื่อผิด ๆ ที่ผู้ปกครองชอบสอนเด็ก

ความเชื่อข้อที่ 1 : อย่าคุยกับคนแปลกหน้า

คนแปลกหน้ามีอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านที่เราไม่เคยทักทาย หรือคนที่กำลังซื้อของในห้าง คนขายกับข้าวหน้าปากซอย หรือแม้กระทั่งเด็ก ๆ ที่อยู่ห้องเดียวกับลูกคุณวันที่ไปโรงเรียนวันแรก การสอนลูกไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้าจะทำให้เด็กไม่กล้าเข้าสังคม แต่ในความเป็นจริง ลูกคุณต้องพยายามเรียนรู้วิธีรับมือกับคนแปลกหน้าไปตลอดชีวิต

ความเชื่อข้อที่ 2 : ห้ามไปไหนคนเดียว

ส่วนหนึ่งของพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กคือการที่เขาได้ออกไปสำรวจโลกด้วยตัวเอง เมื่อถึงจุดหนึ่งลูกของคุณจะโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ การห้ามไม่ให้ลูกออกไปไหนคนเดียวจะทำให้ลูกกล้าออกไปเผชิญโลกช้าลงและทำให้เกิดปัญหาเรื่องเด็กติดพ่อแม่

ความเชื่อข้อที่ 3 : โจรและผู้ร้ายมีอยู่ทุกที่

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ข่าวที่สื่อต่าง ๆ นำเสนอเกี่ยวกับเด็กหายไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงเพื่อที่จะตามหาเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นการขายความดราม่าเพื่อดึงดูดผู้ชมอีกด้วย ทางการก็มักพยายามตีข่าวให้ใหญ่และเยอะเพื่อให้คนกลัว ซึ่งเป็นวิธีลดเหตุที่ง่ายที่สุด แต่คุณรู้หรือไม่ว่า เด็กมีโอกาสที่จะถูกคนใกล้ชิด ญาติ หรือเพื่อนของครอบครัวลักพาตัวมากกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก

 

เข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่เด็กรู้และสิ่งที่ควรจะรู้

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ จะพูดคุย สอนลูก ให้ ปลอดภัยจากคนแปลกหน้า ปัจจัยหนึ่งที่ควรคำนึงคือ ‘อายุของลูก’ อย่างเช่น ในเด็กอนุบาล เขาอาจยังไม่รู้ว่า คนแปลกหน้า คืออะไร ไม่สามารถที่จะแยกได้ว่า คนไหนที่อยู่ด้วยแล้วปลอดภัย หรือ คนไหนที่อาจมาทำอันตราย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ สามารถเริ่มปลูกฝังเรื่องความปลอดภัยเบื้องต้นกับลูกได้ แต่เขาอาจยังไม่พร้อมที่จะลงรายละเอียดในการรับมือกับคนแปลกหน้า

ส่วนเด็กในวัยประถม ช่วงอายุ 5 – 8 ขวบ เขาอาจเริ่มได้ยินเรื่อง คนแปลกหน้า ที่อาจเป็นอันตรายบ้างแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเขาอาจประเมินผู้ใหญ่ทุกคนที่ใจดีว่าจะไม่ทำอันตราย ซึ่งในเด็กช่วงวัยนี้เริ่มที่จะไปโรงเรียน ไปสวนสาธารณะ ออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ในละแวกบ้าน หรือ เข้าห้างสรรพสินค้า จึงมีโอกาสที่เขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า นั้นจึงเป็นสาเหตุที่เด็ก ๆ ต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะแยกแยะคนแปลกหน้าได้อย่างชัดเจนขึ้น

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

วิธีการเริ่มคุยกับลูกในเรื่องของคนแปลกหน้าได้อย่างไรบ้าง ?

  • ความปลอดภัยขั้นพื้นฐานของร่างกาย

ให้คุณพ่อคุณแม่ เริ่มพูดคุยกับลูกเกี่ยวกับความปลอดภัยขั้นพื้นฐานของร่างกายเรา ในกรณีที่ลูกเริ่มรู้เรื่องบ้างแล้ว อาจเริ่มสอนและสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับอวัยวะเพศว่ามันไม่โอเคที่จะให้คนอื่น ๆ มาสัมผัสบริเวณนั้นได้โดยเด็ดขาด

  • พูดคุยเรื่อง ความหมายของ ‘คนแปลกหน้า’

เด็ก ๆ ในช่วงวัย 4 ขวบ จะเริ่มตั้งคำถามและเริ่มมีความสงสัยในสิ่งต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ดี ที่จะชวนลูกคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น อาจลองถามลูกว่า ‘หนูรู้ไหมว่า คนแปลกหน้า คืออะไร?’
ถ้าลูก ๆ ไม่แน่ใจว่าคืออะไร ก็ขอให้อธิบายลูกอย่างชัดเจน แต่ควรระวังไม่พูดเกินจริง ใส่อารมณ์ ที่จะสร้างความหวาดกลัวเกินไปให้ลูก แค่บอกว่า ‘คนแปลกหน้าคือ คนที่ลูกไม่รู้จัก พ่อแม่ไม่รู้จักเขา’ ก็เพียงพอแล้ว

  • ยกตัวอย่างของผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้

ให้คุณพ่อ คุณแม่ ลองยกตัวอย่างของผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ นอกจาก ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้าน ลุง ป้า น้า อา แล้ว เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ เริ่มฝึกจำแนกผู้ใหญ่ได้ดีขึ้น เช่น คุณพ่อคุณแม่ของเพื่อนสนิทลูก คุณครูที่โรงเรียน หรือ ใช้เรื่องของลักษณะอาชีพมาช่วย เช่น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คุณหมอ พนักงานในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร

  • พูดคุยถึงสิ่งที่ควร และ ไม่ควรทำ

ลองอธิบายข้อตกลงบ้างอย่างสำหรับในการรับมือกับคนแปลกหน้าให้ลูกฟัง ด้วยวิธีที่ไม่ทำให้เขาหวาดกลัว เช่น ลองพูดเรื่อง ‘สมมติ’ ให้เขาได้ฟังสถานการณ์ต่าง ๆ และ วิธีการรับมือ เช่น “สมมติว่าลูกไปห้างกับพ่อแม่ แล้วเกิดหลงทางกันหาแม่ไม่เจอ ให้ลูกพยายามหาที่จ่ายตังค์แล้วบอกพี่พนักงานว่า หนูหลงทางกับพ่อแม่ บอกชื่อหนูกับพี่เค้าไว้ แล้วรออยู่ตรงนั้นอย่าไปไหนจนกว่าแม่กับพ่อจะตามมาเจอหนู”

 

คำแนะนำเหล่านี้ หากคุณพ่อคุณแม่นำไปปรับใช้ ก็ขอให้ใจเย็น ๆ ในการพูดคุยกับลูกด้วยเหตุผล ห้ามใช้อารมณ์โดยเด็ดขาด และหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ในเวลาที่เวลาลูกหลงทาง เมื่อเจอกันแล้วอย่าดุ ตี หรือ โมโหใส่เขา ขอให้ปลอบเขาดี ๆ ด้วยการกอดเขา และลองมาคุยถึงแนวทางเวลาเกิดเหตุการณ์นั้น แล้วอย่าลืมพูดชื่นชมเขาหากลูกสามารถหาวิธีขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ได้

 

บทความที่น่าสนใจ :

สอนลูกให้ปลอดภัยจากคนแปลกหน้า

บอกลูกไว้ 8 บุคคลที่ไม่จำเป็นต้อง “กอด” เสมอไป

สอนลูกอย่างไรให้ปลอดภัยจากคนแปลกหน้า บทเรียนจากน้องการ์ตูน

ที่มา : 1, 2

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความโดย

Napatsakorn .R