โรคมือเท้าปากและ RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นสองโรคที่พบบ่อยในเด็กเล็ก ทั้งสองมีอาการคล้ายคลึงกันจนทำให้หลายคนสับสน แต่ในความเป็นจริงมีความแตกต่างกันมาก การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ โรคมือเท้าปากกับ RSV ต่างกันยังไง มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถรับมือและป้องกันได้อย่างถูกต้อง
โรคมือเท้าปาก คืออะไร
โรคมือเท้าปากคือการติดเชื้อไวรัสที่พบบ่อยในเด็กเล็ก ส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) โดยเฉพาะไวรัสคอกซากี (Coxsackievirus) และเอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71) ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านทางน้ำลาย น้ำมูก หรืออุจจาระของผู้ติดเชื้อ
อ่านเพิ่มเติม: โรคมือเท้าปาก โรคใกล้ตัวเด็กวัยเรียน ทารก-เด็กเล็ก ก็มีโอกาสป่วยง่าย
RSV คืออะไร?
RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่มักเกิดในเด็กทารกและเด็กเล็ก อาการเริ่มต้นอาจคล้ายกับโรคหวัด แต่สามารถพัฒนาไปเป็นโรคปอดบวมได้ในบางกรณี อาการสำคัญคือ หายใจลำบาก มีไข้ ไอ และมีน้ำมูก แต่ในบางกรณีอาจรุนแรงขึ้นจนทำให้หายใจลำบาก หายใจเร็ว หรือมีเสียงหวีดเวลา หายใจ โดยไวรัส RSV สามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสกับของเหลวจากทางเดินหายใจของผู้ที่ติดเชื้อ เช่น การไอ การจาม หรือการสัมผัสกับพื้นผิวที่มีไวรัสอยู่
อ่านเพิ่มเติม: 10 อาการ RSV ในทารก และเด็กเล็ก สัญญาณเตือนที่พ่อแม่ควรรู้
โรคมือเท้าปากกับ RSV ต่างกันยังไง
โรคมือเท้าปาก | โรค RSV | |
สาเหตุ | เชื้อไวรัสในกลุ่ม Enterovirus โดยเฉพาะ Coxsackievirus |
เชื้อไวรัส Respiratory Syncytial Virus (RSV)
|
กลุ่มอายุที่พบบ่อย | เด็กเล็ก อายุ 5 ปี หรือต่ำกว่า |
เด็กเล็ก โดยเฉพาะทารกอายุต่ำกว่า 2 ปี
|
ลักษณะอาการ | มีแผลพุพองที่มือ เท้า และปาก |
อาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ น้ำมูกไหล หายใจลำบาก
|
การแพร่กระจาย | ติดต่อผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่ง |
ติดต่อผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งหรือสูดหายใจ
|
ระยะฟักตัว | ประมาณ 3-6 วัน | ประมาณ 2-8 วัน |
การรักษา | รักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ และยาบรรเทาอาการเจ็บปาก |
รักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ และยาช่วยในการหายใจ
|
ภาวะแทรกซ้อน | อาจทำให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือภาวะหัวใจล้มเหลวในกรณีรุนแรง |
อาจทำให้เกิดปอดบวม หรือภาวะการหายใจล้มเหลว
|
การป้องกัน | ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย |
ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
|
การแพร่ระบาด | มักพบในช่วงฤดูร้อน |
มักพบในช่วงฤดูหนาว
|
สถานที่ที่มักจะติดเชื้อโรคมือเท้าปากกับ RSV
โรคมือเท้าปาก และ RSV มักพบได้บ่อยในสถานที่ที่มีเด็ก ๆ รวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น
- โรงเรียน: เด็ก ๆ มักมีการสัมผัสใกล้ชิดกัน เล่นด้วยกัน และใช้ของใช้ร่วมกัน ซึ่งเป็นช่องทางการแพร่เชื้อที่สำคัญ
- ศูนย์รวมเด็ก: เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สนามเด็กเล่น สวนสนุก สวนน้ำ
- สถานที่ที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก: เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ตลาดนัด สวนสาธารณะ
- สถานที่ที่อากาศไม่ถ่ายเทสะดวก: เช่น รถโดยสารสาธารณะ รถเมล์ รถตู้
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย เช่น:
- การอยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วย: สมาชิกในครอบครัวมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ
- การดูแลผู้ป่วย: ผู้ดูแลเด็กเล็กหรือผู้ป่วย RSV ควรล้างมือบ่อย ๆ
- การสัมผัสน้ำลาย น้ำมูก เสมหะ หรืออุจจาระของผู้ป่วย: เช่น การสัมผัสเสื้อผ้า ของเล่น หรือใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
การป้องกันโรคมือเท้าปาก
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคมือเท้าปากคือการรักษาสุขอนามัยที่ดี ดังนี้
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำ โดยเฉพาะหลังใช้ห้องน้ำ ก่อนรับประทานอาหาร และหลังสัมผัสกับผู้ป่วย
- ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เมื่อไม่มีสบู่และน้ำให้ใช้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย เช่น การจูบ กอด หรือใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
- ไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า และช้อนส้อม
- ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวและสิ่งของที่สัมผัสบ่อย ๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ของเล่น และลูกบิดประตู
- สวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย
- หลีกเลี่ยงการไปสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น ในช่วงที่โรคระบาด
- พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
การป้องกันโรคมือเท้าปากสำหรับเด็กเล็ก
- ล้างมือให้เด็กบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังใช้ห้องน้ำ ก่อนรับประทานอาหาร และหลังเล่นนอกบ้าน
- ตัดเล็บให้เด็กสั้น เพื่อป้องกันการเกาและทำให้แผลตุ่มแตก
- สอนให้เด็กไอหรือจามใส่ทิชชู และทิ้งทิชชูที่ใช้แล้วลงในถังขยะที่มีฝาปิด
- สอนให้เด็กไม่เอานิ้วเข้าปาก
- ดูแลเด็กให้พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
บทความที่น่าสนใจ: 7 ขั้นตอนการล้างมือ อย่างถูกวิธี เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี ปราศจากเชื้อโรค
การป้องกัน RSV
การป้องกัน RSV ที่ดีที่สุดคือ การรักษาความสะอาด โดยวิธีหลัก ๆ ที่ช่วยป้องกัน RSV มีดังนี้
- ล้างมือบ่อย ๆ ทั้งมือของผู้ใหญ่และเด็ก ใช้สบู่อ่อนๆ ล้างมือให้ทั่วมือและนิ้วมือเป็นเวลา 20 วินาที ล้างมือทุกครั้งหลังไอ จาม หรือหลังสัมผัสกับน้ำมูกหรือน้ำลายของผู้อื่น
- ใช้เจลล้างมือ ที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 60% เมื่อไม่มีน้ำและสบู่ให้ใช้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงการจูบ กอด หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วย RSV
- สวมหน้ากากอนามัย สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับเด็กเล็กหรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม ใช้กระดาษทิชชูปิดปากและจมูก ทิ้งกระดาษทิชชูที่ใช้แล้วลงในถังขยะที่มีฝาปิด ล้างมือหลังไอหรือจาม
- ทำความสะอาดพื้นผิวที่สัมผัสบ่อย ๆ ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวที่สัมผัสบ่อยๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ของเล่น และลูกบิดประตู
- ให้นมบุตร การให้นมบุตรช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของทารกและช่วยปกป้องพวกเขาจาก RSV
วิธีการรักษาโรคมือเท้าปากและ RSV
การเจ็บป่วยของลูกน้อย ๆ มักเป็นที่ท้าทายสำหรับพ่อแม่ โรคมือเท้าปากและ RSV เป็นเรื่องที่ทำให้คุณกังวล แต่ไม่ต้องห่วงมาก เพราะมีวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพ
วิธีการรักษาโรคมือเท้าปาก
- ให้สารอาหารและน้ำที่เพียงพอ: เด็กที่ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหารและเจ็บคอ ทำให้ดื่มน้ำและทานอาหารได้น้อยลง สิ่งสำคัญคือต้องให้เด็กได้รับสารอาหารและน้ำที่เพียงพอเพื่อป้องกันการขาดน้ำ
- ยาลดไข้และยาลดอาการเจ็บคอ: ยาพาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟนสามารถช่วยลดไข้และบรรเทาอาการเจ็บคอ
- เช็ดตัวเพื่อลดไข้: การเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นสามารถช่วยลดไข้ได้
- รักษาความสะอาด: ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสบู่ โดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าอ้อมบ่อยๆ และทำความสะอาดพื้นผิวที่ปนเปื้อน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด: เด็กที่ป่วยควรแยกตัวจากเด็กอื่นๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
วิธีการรักษา RSV
- การรักษาตามอาการ: เช่นเดียวกับโรคมือเท้าปาก การรักษา RSV มักมุ่งเน้นไปที่การรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ และน้ำเกลือแร่
- ยาต้านไวรัส: ในบางราย แพทย์อาจสั่งยาต้านไวรัส
- การนอนพักในโรงพยาบาล: เด็กที่มีอาการ RSV รุนแรงอาจต้องนอนพักในโรงพยาบาลเพื่อรับการดูแลอย่างใกล้ชิด
การดูแลและรักษาโรคมือเท้าปากและ RSV ต้องเน้นการจัดการอาการและการป้องกันการแพร่เชื้อโรคให้เหมาะสม เพื่อให้ลูกน้อยได้รับการรักษาที่เหมาะสมและเร็วที่สุด แต่ควรปรึกษาแพทย์เสมอเมื่อมีข้อสงสัยหรืออาการรุนแรง ๆ อาจจำเป็นต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลในบางกรณี
ที่มา: www.primary-health.net, cpmgsandiego.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
โรค มือ เท้า ปาก อันตรายไหม เด็กเป็นได้หรือไม่ ติตง่ายแค่สัมผัส
เริ่มระบาดอีก! โรคเฮอร์แปงไจน่า โรคน่ากลัวกลุ่มเดียวกับ มือ เท้า ปาก
เช็กอาการไวรัส RSV โรคติดต่อที่ต้องระวังในช่วงปลายฝนต้นหนาว