แผลจากการผ่าคลอดส่วนใหญ่จะหายเป็นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์หรือหลายเดือน นี่คือสิ่งที่คุณแม่ทุกท่านรู้ดีอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่คุณแม่ส่วนใหญ่มักเป็นกังวลเกี่ยวกับการผ่าคลอดนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของความเสี่ยงหลังผ่าคลอด หรือความเป็นกังวลเกี่ยวกับลูกน้อยเพียงอย่างเดียว แต่คือเรื่องของแผลผ่าคลอด เพราะหากดูแลไม่ดีอาจส่งผลทำให้หน้าท้องที่เคยเรียบเนียนของคุณแม่ มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่จนมองเห็นได้อย่างชัดเจน วันนี้เราจึงของแนะนำ ยาลดรอยแผลเป็น สำหรับแม่ผ่าคลอด แบบไหนไม่เป็นคีลอยด์
ประเภทของแผลเป็นจากการคลอด มีกี่แบบ
แผลเป็นจากการผ่าคลอดเป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคุณแม่ผ่าคลอดทุกคน โดยแผลเป็นเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและการดูแลที่แตกต่างกัน ดังนี้
-
แผลเป็นเรียบ
แผลเป็นเรียบเป็นแผลเป็นที่พบบ่อยที่สุดหลังจากการผ่าคลอด มีลักษณะเรียบเนียนไปตามแนวแผลผ่าตัด ซึ่งอาจเป็นเส้นตรงหรือโค้งเล็กน้อยตามที่แพทย์ทำการผ่าตัด ลักษณะของแผลเป็นเรียบจะค่อย ๆ จางลงตามเวลา โดยมักจะใช้เวลา 1-2 ปีในการกลมกลืนกับผิวหนังโดยรอบ และในบางกรณีอาจแทบไม่สามารถมองเห็นได้เลย ซึ่งแผลเป็นประเภทนี้มักจะไม่รู้สึกเจ็บ แต่อาจทำให้คุณแม่บางท่านรู้สึกไม่มั่นใจช่วงแรก ๆ
-
แผลเป็นนูน (คีลอยด์)
แผลคีลอยด์ เป็นแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากการสร้างเนื้อเยื่อเพิ่มเติมขึ้นมาจากแผลที่มากจนเกินไปหลังการผ่าตัด ทำให้แผลเป็นนี้มีลักษณะนูนแข็งและขยายใหญ่กว่ารอยแผลผ่าตัดเดิม โดยแผลเป็นนูนมักมีสีแดงหรือสีม่วง และอาจก่อให้เกิดความคันหรือรู้สึกเจ็บในบางครั้ง ทั้งนี้แผลเป็นนูนพบได้บ่อยในคุณแม่ที่มีความเสี่ยง เช่น คนที่มีผิวสีเข้ม หรือคนที่มีประวัติการเป็นคีลอยด์หรือแผลเป็นนูนในส่วนอื่นของร่างกายดังนั้นการดูแลแผลเป็นนูนอาจต้องใช้วิธีการพิเศษ เช่น การทายาเฉพาะที่ การใช้แผ่นซิลิโคน หรือในบางกรณีอาจต้องใช้การรักษาด้วยเลเซอร์
-
แผลเป็นหลุม
แผลเป็นหลุม เป็นแผลเป็นที่มีรอยบุ๋มลงไปในผิวหนัง มักเกิดจากการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดหรือการมีเลือดคั่งใต้แผล แผลเป็นหลุมอาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นดูไม่เรียบเนียนและไม่สม่ำเสมอ โดยแผลเป็นประเภทนี้มักต้องการการดูแลพิเศษเพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติม ดังนั้นการรักษาแผลเป็นหลุมอาจรวมถึงการใช้ครีมหรือยาที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว การทำการรักษาทางการแพทย์อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การใช้เลเซอร์ หรือการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มรอยหลุม
-
แผลเป็นขยาย
แผลเป็นขยายเป็นแผลเป็นที่เกิดจากการที่แผลผ่าตัดขยายใหญ่ขึ้น มักเกิดขึ้นในบุคคลที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการผ่าคลอด หรือในกรณีที่มีการยืดขยายของผิวหนังที่มากเกินไป แผลเป็นขยายอาจทำให้แผลเป็นดูใหญ่ขึ้นและไม่สวยงาม ทั้งนี้การป้องกันแผลเป็นขยายคือการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และการดูแลแผลให้สะอาดและปราศจากการติดเชื้อ
ถึงอย่างไรก็ตามการดูแลแผลเป็นอย่างถูกต้องและต่อเนื่องจะช่วยให้แผลเป็นหายเร็วขึ้นและมีลักษณะที่ดีขึ้น ทำให้คุณแม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
บทความที่น่าสนใจ: เผยเคล็ดลับ วิธีรักษารอยแผลเป็น รักษาอย่างไรให้รอยแผลหาย เห็นผลจริง!
แม่ผ่าคลอดควรเริ่มทายาลดรอยแผลเป็นเมื่อไหร่
แผลผ่าคลอด แม้จะเป็นแผลที่เกิดจากการผ่าตัดระยะสั้น แต่การฟื้นฟูและดูแลแผลให้หายสนิทนั้นใช้เวลานานกว่าแผลทั่วไป โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ หรืออาจมากกว่า ขึ้นอยู่กับขนาดของแผล วิธีการผ่าตัด และการดูแลแผลของแต่ละบุคคล โดยกลไกการหายของแผลผ่าคลอดจะเริ่มสมานตัวจากด้านในสู่ด้านนอก โดยในช่วง 2-3 วันแรก แผลผ่าคลอดจะเริ่มมีการอักเสบ บวม แดง แสบร้อน และอาจมีเลือดหรือน้ำเหลืองซึมออกมา แพทย์จะทำความสะอาดแผลและปิดแผลด้วยผ้าปิดแผลชนิดพิเศษ หลังจากนั้น ร่างกายจะเริ่มสร้างเนื้อเยื่อใหม่เพื่อเชื่อมเนื้อเยื่อที่แยกออกจากกัน และแผลจะค่อย ๆ ยุบตัว ลดการบวมแดง และแห้งลงในไม่ช้า
ยาลดรอยแผลเป็น สำหรับแม่ผ่าคลอด มีกี่ประเภท
ยาลดรอยแผลเป็นสำหรับแผลผ่าคลอดมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีกลไกการออกฤทธิ์และประสิทธิภาพที่แตกต่างกันไป ดังนี้
1. ซิลิโคนเจล (Silicone Gel)
คุณสมบัติ: ซิลิโคนเจลเป็นวิธีการรักษารอยแผลเป็นที่ได้รับความนิยมและยอมรับในทางการแพทย์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง ทำให้แผลเรียบเนียนขึ้น ลดรอยแดงและรอยนูน
การใช้: ซิลิโคนเจลสามารถใช้ได้ทั้งกับแผลใหม่และแผลเก่า โดยการทาซิลิโคนเจลบนรอยแผลเป็นอย่างสม่ำเสมอ วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลานานต่อเนื่องกันหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
การทำงาน: ซิลิโคนเจลทำงานโดยสร้างชั้นป้องกันที่บางและโปร่งแสงบนผิวหนัง ซึ่งช่วยให้แผลมีความชุ่มชื้นและยืดหยุ่น ชั้นป้องกันนี้ยังช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นจากแผล ลดการเกิดแผลเป็นที่นูน และลดอาการคันที่มักเกิดขึ้นในช่วงการสมานแผล
2. ยาสเตียรอยด์ (Steroid Cream)
คุณสมบัติ: ยาสเตียรอยด์มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบของแผล ลดรอยแดง และช่วยยับยั้งการสร้างคอลลาเจนที่มากเกินไปซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดแผลเป็นที่นูน
การใช้: ยาสเตียรอยด์เหมาะสำหรับการใช้กับแผลใหม่ที่มีรอยแดง การใช้ยาสเตียรอยด์ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากการใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมหรือใช้นานเกินไปอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวบางลงหรือเกิดการติดเชื้อ
การทำงาน: สเตียรอยด์ช่วยลดการอักเสบโดยการยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในบริเวณที่ทา ทำให้ลดการบวมและรอยแดงที่เกิดจากการอักเสบของแผล
3. วิตามินอี (Vitamin E)
คุณสมบัติ: วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากความเสียหาย ส่งเสริมการสมานแผลและลดรอยแผลเป็น
การใช้: วิตามินอีมักถูกนำมาใช้กับแผลเก่า โดยการทาน้ำมันวิตามินอีหรือครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอีลงบนแผลเป็นวันละ 1-2 ครั้ง
การทำงาน: วิตามินอีช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลายและป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระที่อาจทำให้แผลเป็นแย่ลง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้แผลเรียบเนียนขึ้น
4. สารสกัดจากธรรมชาติ (Natural Extracts)
คุณสมบัติ: สารสกัดจากธรรมชาติมีคุณสมบัติหลากหลายที่ช่วยในการลดรอยแผลเป็น บางชนิดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฆ่าเชื้อ และช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้น
การใช้: สารสกัดจากธรรมชาติเหมาะสำหรับทั้งแผลใหม่และแผลเก่า โดยสามารถใช้เป็นเจล ครีม หรือสารสกัดเข้มข้นในการทาบริเวณแผลเป็นวันละ 2 ครั้ง
การทำงาน: ตัวอย่างเช่น ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ขมิ้นชันมีสารเคอร์คูมินที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ หัวไชเท้าและมะเขือเทศมีวิตามินและสารอาหารที่ช่วยในการสมานแผลและฟื้นฟูสภาพผิว
ทั้งนี้การเลือกใช้ยาลดรอยแผลเป็นควรพิจารณาตามประเภทของแผล ความเหมาะสมกับสภาพผิว และคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการลดรอยแผลเป็น
บทความที่น่าสนใจ: 10 ครีมรักษารอยแผลเป็น ไอเท็มเด็ด ช่วยให้ผิวกลับมาเนียนอีกครั้ง
ข้อดีข้อเสียของยาลดรอยแผลเป็นแต่ละประเภท
ประเภทของยาลดรอยแผลเป็น | ข้อดี | ข้อเสีย |
ซิลิโคนเจล | – ลดรอยแผลเป็นนูนได้ดี
– กันน้ำ ทนทาน ใช้งานได้นาน – ปลอดภัย เหมาะกับผิวแพ้ง่าย |
– ราคาค่อนข้างแพง
– บางสูตรอาจทำให้ผิวแห้ง
– ต้องทาซ้ำบ่อย ๆ
|
แผ่นซิลิโคน | – ลดรอยแผลเป็นนูนได้ดี
– ใช้สะดวก พกพาง่าย – ปิดแผลได้มิดชิด ป้องกันรอยแผลจากแสงแดด |
– ราคาค่อนข้างแพง
– อาจทำให้เกิดรอยแดงหรือระคายเคืองผิวได้ในบางราย
– ไม่สามารถกันน้ำได้
|
เจลใส | – หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง
– ใช้ทาบำรุงแผลเป็นใหม่ ๆ ได้ดี – ช่วยให้แผลชุ่มชื้น |
– ประสิทธิภาพในการลดรอยแผลเป็นปานกลาง
– ไม่เหมาะกับแผลเป็นนูน
|
ครีม | – หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง
– ใช้ทาบำรุงแผลเป็นใหม่ ๆ และแผลเป็นเก่าได้ – มีหลายสูตรให้เลือก |
– ประสิทธิภาพในการลดรอยแผลเป็นแตกต่างกันไปในแต่ละสูตร
– บางสูตรอาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้
|
ยาสเตียรอยด์ | – ลดรอยแผลเป็นนูนได้ดี
– ควบคุมการอักเสบของแผลเป็น |
– ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
– ใช้ระยะยาวอาจทำให้ผิวบางลง เสี่ยงต่อการเกิดรอยแตก
|
ทั้งนี้ประสิทธิภาพของยาลดรอยแผลเป็นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดของแผลเป็น ระยะเวลาที่ใช้ยา สภาพผิว และความสม่ำเสมอในการทายา เป็นต้น ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาลดรอยแผลเป็นทุกชนิด และควรทดสอบยาทาบริเวณผิวหนังที่มีขนาดเล็กก่อนใช้บนรอยแผลเป็นจริง
ที่มา: cosmeticgynaecology.com, parents.com, vimut.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
15 คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด เรื่องน่ารู้ก่อนเป็นคุณแม่
หลังผ่าตัดห้ามกินอะไร อาหารแสลง แม่ผ่าคลอดควรรู้
ผ่าคลอดกี่เดือนถึงจะมีเพศสัมพันธ์ได้ เมื่อไหร่ควรมีเพศสัมพันธ์ได้