วิธีเลือกซื้อ คาร์ซีทสำหรับเด็กแต่ละวัย ให้ปลอดภัยกับลูกน้อย

กฎหมายคาร์ซีทได้กำหนดให้เด็กแรกเกิด-6 ปี ต้องนั่งคาร์ซีท บทความนี้เราจะชวนคุณพ่อคุณแม่มาศึกษา วิธีเลือกซื้อ คาร์ซีทสำหรับเด็กแต่ละวัย กันค่ะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

คาร์ซีทเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นและสำคัญมากต่อความปลอดภัยของลูกน้อย ไม่ว่าระยะทางจะใกล้หรือไกลแค่ไหนก็ตามควรให้ลูกนั่งคาร์ซีทเสมอ ซึ่งในปัจจุบันกฎหมายคาร์ซีทได้กำหนดให้เด็กแรกเกิด- 6 ปี และเด็กที่มีความสูงน้อยกว่า 135 ซม.ต้องนั่งคาร์ซีท บทความนี้เราจะชวนคุณพ่อคุณแม่มาศึกษา วิธีเลือกซื้อ คาร์ซีทสำหรับเด็กแต่ละวัย และการใช้คาร์ซีทที่ถูกต้องและปลอดภัยกันค่ะ 

 

สารบัญ

สถานการณ์การเสียชีวิตของเด็กไทยที่ไม่นั่งคาร์ซีท

สถานการณ์การเสียชีวิตของเด็กไทยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในช่วงที่ผ่านมาระหว่างปี 2560-2564 มีเด็กอายุ 0-6 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์เฉลี่ยปีละ 44 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก

สาเหตุหลัก ส่วนใหญ่เกิดจากการที่เด็กไม่ได้นั่งคาร์ซีท ทำให้เกิดการกระเด็นออกนอกรถและได้รับบาดเจ็บรุนแรง

เด็กมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กมีร่างกายที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เด็กจะได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่า เช่น สมอง ก้านคอ และม้ามแตก แต่จากข้อมูลพบว่า เด็กไทยใช้คาร์ซีทเพียง 3.46% เท่านั้น ซึ่งเป็นอัตราการใช้คาร์ซีทต่ำมากเมื่อเทียบกับความสำคัญของอุปกรณ์นี้

 

ทำไมพ่อแม่จำนวนมากยังไม่ให้ลูกนั่งคาร์ซีท

  1. ความไม่พร้อมของพ่อแม่ เนื่องจากคาร์ซีทเป็นอุปกรณ์ที่ค่อนข้างมีราคาสูง ไม่ใช่ทุกครอบครัวจะสามารถจ่ายไหว
  2. บางครอบครัวใช้รถกระบะแคป สำหรับขนของ ซึ่งไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับการติดตั้งคาร์ซีท
  3. ผู้ปกครองส่วนหนึ่งยังคงเข้าใจผิด คิดว่าการอุ้มลูกนั่งตักในเบาะหน้า ลูกจะปลอดภัยในอ้อมกอดของพ่อแม่ แต่ความเป็นจริง การอุ้มเด็กนั่งตักในเบาะหน้าอันตรายมาก เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เด็กจะใกล้กับถุงลมนิรภัย และอาจได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดของถุงลมนิรภัย

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

“คาร์ซีท” ปกป้องชีวิตลูกน้อยได้มากกว่าที่คิด

ตามรายงานจากศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา การใช้คาร์ซีทสามารถลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเด็กปฐมวัยได้มากกว่า 75% เมื่อเทียบกับการใช้เข็มขัดนิรภัยเพียงอย่างเดียว และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเด็กวัยเรียนได้กว่า 40% นอกจากนี้ ยังพบว่าคาร์ซีทช่วยลดโอกาสบาดเจ็บโดยรวมได้ถึง 71-82% และลดโอกาสบาดเจ็บรุนแรงได้มากถึง 45%

สถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คาร์ซีทเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความปลอดภัยของเด็กขณะเดินทางด้วยรถยนต์ โดยคาร์ซีทออกแบบมาเพื่อดูดซับแรงกระแทกและป้องกันไม่ให้เด็กกระเด็นออกจากเบาะนั่งในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่ศีรษะ คอ และอวัยวะภายใน ซึ่งเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดของร่างกายเด็ก

กฎหมายคาร์ซีทในประเทศไทย พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 กำหนดให้

  • เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องนั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) หรือที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก
  • เด็กที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องนั่งที่เบาะนั่งนิรภัยหรือคาร์ซีทเมื่อเดินทางเท่านั้น

ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท โดยมีข้อยกเว้น หากไม่มีคาร์ซีท จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ 3 ข้อ ได้แก่

  1. ขับรถด้วยความเร็วช้า โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และต้องขับชิดซ้าย
  2. ให้เด็กนั่งในที่นั่งโดยสารตอนหลัง (เบาะหลัง) ส่วนในกรณีรถกระบะ หรือกึ่งกระบะ ให้นั่งโดยสารตอนหน้าได้ แต่ห้ามนั่งท้ายกระบะ
  3. จัดให้มีผู้ดูแลเด็กในขณะโดยสาร หรือให้เด็กรัดเฉพาะเข็มขัดรัดหน้าตัก (อย่างใดอย่างหนึ่ง)

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

วิธีเลือกซื้อคาร์ซีท ให้ปลอดภัยกับลูกน้อย

การซื้อคาร์ซีทเป็นเรื่องผู้ปกครองหลายคนคิดหนัก เนื่องจากราคาค่อนข้างสูง จะเลือกอย่างไรให้ดีที่สุด ในราคาที่เราจ่ายไหว และคาร์ซีทที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องแพงที่สุดเสมอไป มาดูกันค่ะว่า วิธีเลือกซื้อคาร์ซีทควรพิจารณาในเรื่องใดบ้าง

1. เลือกซื้อคาร์ซีทที่มีการรับรองมาตรฐาน

การดูที่ป้ายรับรองมาตรฐานเป็นสิ่งจำเป็นอันดับแรก เพราะเป็นการการันตีว่าคาร์ซีทนั้นผ่านการทดสอบตามมาตรฐานสากล และมีความปลอดภัยสูง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

มาตรฐานสากลของคาร์ซีท 3 แบบที่ควรรู้

  • FMVSS 213 เป็นมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา มุ่งเน้นไปที่การทดสอบการปะทะด้านหน้าและด้านข้าง โดยจะวัดแรงกระแทกที่เกิดขึ้นกับเด็กขณะเกิดอุบัติเหตุ
  • ECE R44/04 เป็นมาตรฐานของสหภาพยุโรป เป็นมาตรฐานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก เน้นการทดสอบการปะทะด้านหน้าและด้านข้างเช่นกัน แต่มีการพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐานอยู่เรื่อยๆ
  • ECE R129 (i-Size): เป็นมาตรฐานใหม่ล่าสุดของสหภาพยุโรป มีความเข้มงวดกว่ามาตรฐาน ECE R44/04 เน้นการติดตั้งคาร์ซีทด้วยระบบ ISOFIX เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการจำแนกกลุ่มอายุของเด็กและขนาดของคาร์ซีทให้ชัดเจนขึ้น ทำให้ผู้ปกครองเลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับลูกน้อยได้ง่ายขึ้น

เลือกมาตรฐานไหนดี?

การเลือกมาตรฐานคาร์ซีทขึ้นอยู่กับความชอบและความต้องการของแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้ว ECE R129 (i-Size) ถือเป็นมาตรฐานที่ใหม่ที่สุดและมีความเข้มงวดสูงสุด ดังนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการคาร์ซีทที่มีความปลอดภัยสูงสุด

ข้อดีของ ECE R129 (i-Size)

  • ปลอดภัยกว่า มีการทดสอบที่เข้มงวดกว่า
  • ติดตั้งง่าย ใช้ระบบ ISOFIX
  • จำแนกกลุ่มอายุชัดเจน เลือกคาร์ซีทได้ง่ายขึ้น
  • ครอบคลุมการป้องกัน ป้องกันการบาดเจ็บได้หลากหลายรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม คาร์ซีทที่ได้มาตรฐาน ECE R44/04 ก็ยังคงมีความปลอดภัยสูง และเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการคาร์ซีทในราคาที่ย่อมเยากว่า

2. เลือกคาร์ซีทให้เหมาะกับช่วงอายุและส่วนสูงของเด็ก

คาร์ซีทแต่ละประเภทจะมีการออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของเด็กในแต่ละช่วงวัย คาร์ซีทสำหรับเด็กแต่ละวัย มีดังนี้

  • คาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าหาเบาะ (Rear-Facing Seat)

เหมาะสำหรับทารกแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 2 ขวบ หรือจนกว่าเด็กจะมีน้ำหนักและส่วนสูงตามที่ระบุไว้ในคู่มือของคาร์ซีท

เหตุผลที่ต้องหันหน้าเข้าหาเบาะ เนื่องจาก การหันหน้าเข้าหาเบาะจะช่วยรองรับศีรษะ คอ และหลังของเด็กได้ดีที่สุดในกรณีเกิดอุบัติเหตุ เพราะส่วนเหล่านี้ของเด็กเล็กยังบอบบางมาก

  • คาร์ซีทแบบหันไปข้างหน้ารถ (Forward-Facing Seat)

เหมาะสำหรับเด็กอายุประมาณ 2-5 ขวบ หรือจนกว่าเด็กจะมีน้ำหนักและส่วนสูงตามที่ระบุไว้ในคู่มือของคาร์ซีท

เมื่อเด็กโตขึ้น และคาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าหาเบาะไม่สามารถรองรับได้อีกแล้ว ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้คาร์ซีทแบบหันไปข้างหน้ารถได้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

  • คาร์ซีทแบบที่นั่งเสริม (Booster Seat)

เหมาะสำหรับเด็กอายุประมาณ 5 ขวบขึ้นไป หรือจนกว่าเด็กจะโตพอที่สามารถคาดเข็มขัดนิรภัยของรถได้อย่างถูกต้อง

การใช้ Booster Seat ช่วยยกตัวเด็กให้สูงขึ้น ทำให้เข็มขัดนิรภัยรัดตัวได้พอดี โดยเข็มขัดควรพาดผ่านต้นขาด้านบนและหน้าอก ไม่พาดผ่านบริเวณท้องและคอ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ

3. เลือกคาร์ซีทที่มีการป้องกันแรงกระแทกด้านข้าง

อุบัติเหตุทางรถยนต์นั้นเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการชนด้านข้างซึ่งพบได้บ่อยถึง 25-30% ของอุบัติเหตุทั้งหมด ดังนั้น การเลือกคาร์ซีทที่มีระบบป้องกันแรงกระแทกด้านข้างจะช่วยดูดซับแรงกระแทก ช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บที่ศีรษะ คอ และลำตัว ปกป้องลูกน้อยขอจากการบาดเจ็บรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการชนด้านข้างได้

วิธีสังเกตคาร์ซีท ฃบางรุ่นอาจมีเทคโนโลยีเสริม เช่น SICT (Side Impact Protection) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันแรงกระแทกด้านข้าง

 

4. เลือกคาร์ซีทที่มีระบบเข็มขัดรัด 5 จุด (5-points harness)

เมื่อเทียบกับเข็มขัดนิรภัยธรรมดา หรือเข็มขัด 3 จุดแล้ว เข็มขัด 5 จุดจะช่วยยึดร่างกายของเด็กให้แน่นหนาและกระจายแรงกระแทกได้ดีกว่ามาก ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ จะช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บรุนแรง เช่น ศีรษะกระแทก หรือร่างกายกระเด็นไปชนส่วนต่างๆ ของรถได้ดีกว่า

โดยเข็มขัด 5 จุดจะรัดไหล่ทั้งสองข้าง เอว และระหว่างขาของเด็ก ทำให้ร่างกายของเด็กถูกยึดไว้กับที่อย่างมั่นคง เมื่อเกิดอุบัติเหตุ แรงกระแทกจะถูกกระจายไปตามสายรัดต่างๆ ทำให้แรงที่กระทำต่อร่างกายของเด็กน้อยลง และป้องกันไม่ให้เด็กเคลื่อนไหวไปมาภายในคาร์ซีท ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการบาดเจ็บ

ก่อนซื้อคาร์ซีท ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคาร์ซีทนั้นมีเข็มขัด 5 จุด และปรับสายรัดให้กระชับพอดีตัวเด็กเสมอ

 

5. เลือกที่เหมาะสมกับรถยนต์

นอกจากจะเลือก คาร์ซีทสำหรับเด็กแต่ละวัย แล้ว เรายังต้องคำนึงถึงความเข้ากันได้กับรถของเราด้วย เพราะคาร์ซีทแต่ละรุ่นจะมีวิธีการติดตั้งที่แตกต่างกัน

  • เข็มขัดนิรภัย ตรวจสอบว่าคาร์ซีทที่คุณเลือกนั้นใช้เข็มขัดนิรภัยกี่จุด และรถของคุณสามารถรองรับการติดตั้งแบบนั้นได้หรือไม่
  • ระบบ ISOFIX หากคาร์ซีทมีระบบ ISOFIX ให้ตรวจสอบว่ารถของคุณมีจุดยึด ISOFIX หรือไม่ เพราะระบบนี้จะช่วยให้การติดตั้งคาร์ซีทมีความมั่นคงมากขึ้น
  • ตำแหน่งที่นั่ง เลือกตำแหน่งที่นั่งที่เหมาะสมสำหรับการติดตั้งคาร์ซีท โดยทั่วไปแล้วตำแหน่งที่นั่งด้านหลังตรงกลางจะเป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเด็ก

 

6. ซื้อคาร์ซีทจากศูนย์บริการในไทย

การเลือกซื้อคาร์ซีทใหม่จากศูนย์บริการในไทย มีข้อดีหลายประการ เช่น การรับประกันคุณภาพ คาร์ซีทใหม่มั่นใจได้ว่าได้ของใหม่ สภาพสมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพในการป้องกันสูงสุด หากเกิดปัญหาหรือชำรุด สามารถเคลมหรือส่งซ่อมได้ตามเงื่อนไขการรับประกัน นอกจากนี้ พนักงานขายมักมีความรู้เกี่ยวกับคาร์ซีท สามารถให้คำแนะนำในการเลือกซื้อและติดตั้งให้ปลอดภัยกับลูกน้อยได้

ทำไมไม่ควรซื้อคาร์ซีทมือสอง?

เนื่องจากสภาพไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าคาร์ซีทเคยผ่านการใช้งานมาอย่างไร อาจมีรอยร้าว หรือชำรุดภายในที่มองไม่เห็น รวมทั้งอาจใกล้หมดอายุ หรือหมดอายุการใช้งานไปแล้ว ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันลดลง และหากเกิดปัญหาจะไม่ได้รับการรับประกันใดๆ อีกด้วย

 

จะเห็นได้ว่า การใช้คาร์ซีทเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการปกป้องชีวิตของเด็ก คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญกับ วิธีเลือกซื้อ คาร์ซีทสำหรับเด็กแต่ละวัย รวมถึงพิจารณาปัจจัยด้านความปลอดภัยอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ให้แก่ลูกน้อยของเรานะคะ

 

ที่มา: workpointtoday , pobpad , สภาองค์กรของผู้บริโภค , รพ.พริ้นซ์สุวรรณภูมิ

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

7 ข้อผิดพลาดในการใช้คาร์ซีท ที่พ่อแม่มักทำโดยไม่รู้ตัว

วิธีเลือกซื้อ คาร์ซีทสำหรับเด็ก คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับพ่อแม่ชาวไทย