พ่อแม่ทุกคนอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเสมอ และการศึกษาก็คือการลงทุนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่เราจะให้เขาได้ แต่การลงทุนนี้ควรจะหนักแค่ไหน ถึงจะไม่สั่นคลอนความมั่นคงของทั้งครอบครัวในระยะยาว วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันค่ะว่า ค่าเทอมลูก ควรเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ถึงจะเรียกว่า “พอดี” เพื่อให้เราสามารถส่งลูกเรียนในโรงเรียนที่ฝันไว้ พร้อม ๆ กับการสร้างอนาคตที่มั่นคงให้ตัวเองในวัยเกษียณ และยังคงมีเงินเก็บสำหรับเป้าหมายอื่น ๆ ของครอบครัวได้ด้วยค่ะ
เปิดภาพใหญ่ ค่าใช้จ่ายการศึกษาในไทย
ก่อนจะไปถึงสูตรคำนวณ เรามาดูภาพรวม ค่าเทอมลูก ในปัจจุบันกันก่อนดีกว่าค่ะ เพื่อให้เห็นภาพว่าค่าใช้จ่ายที่รอเราอยู่นั้นมีหน้าตาประมาณไหน ข้อมูลนี้เป็นค่าประมาณการเฉลี่ยต่อปีนะคะ อาจมีบวกลบตามแต่ละสถาบันค่ะ
- ค่าเทอมโรงเรียนรัฐบาล : อยู่ในเกณฑ์ที่สบายใจได้ค่ะ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 50,000 บาทต่อปี (หรืออาจสูงกว่า สำหรับห้องเรียนพิเศษ)
- ค่าเทอมโรงเรียนเอกชน (หลักสูตรสามัญ): ขยับขึ้นมาอีกระดับค่ะ จะอยู่ที่ประมาณ 50,000 – 150,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงและสิ่งอำนวยความสะดวก
- ค่าเทอมโรงเรียนสองภาษา (Bilingual): เป็นตัวเลือกยอดนิยมของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 150,000 – 400,000 บาทต่อปี
- ค่าเทอมโรงเรียนนานาชาติ (International School): กลุ่มนี้ค่าใช้จ่ายจะสูงที่สุดค่ะ เริ่มต้นที่ประมาณ 400,000 บาท และอาจสูงไปถึง 1,000,000+ บาทต่อปี ยังไม่รวมค่าแรกเข้า ค่ากิจกรรม และค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ นะคะ
เห็นตัวเลข ค่าเทอมลูก แล้วอย่าเพิ่งตกใจค่ะ! เป้าหมายไม่ใช่การบอกว่าแบบไหนดีที่สุด แต่เพื่อให้เราเตรียมพร้อม เพราะการเลือกโรงเรียนให้ลูก ไม่ใช่แค่การเลือกหลักสูตร แต่คือการเลือกแผนการเงินระยะยาว 15-20 ปีเลยทีเดียว นอกจากนี้ ต้องเตรียมพร้อมสำหรับเงินเฟ้อทางการศึกษาด้วย เช่น ค่าเทอมเพิ่มขึ้นปีละ 6 – 7% มีบางโรงเรียนค่าเทอมอาจเพิ่มขึ้นถึงปีละ 10%
สูตรไม่ลับ! สัดส่วนเพื่อการศึกษาลูก
จากประสบการณ์และหลักการวางแผนการเงินที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่า ภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของลูกทั้งหมด (รวมค่าเทอม, ค่ากิจกรรม, ค่าเรียนพิเศษ) ไม่ควรเกิน 10-15% ของรายได้รวมทั้งครอบครัว
ทำไมต้องเป็น 10-15%?
เพราะสัดส่วนนี้เป็นจุดที่สมดุลที่สุด ที่จะทำให้ครอบครัวของเรายังไปต่อในมิติอื่น ๆ มาดูกันค่ะว่าถ้าเราจัดสรรตามสัดส่วนนี้ จะเป็นอย่างไร
ตัวอย่างการคำนวณ:
- ครอบครัว A: รายได้รวม (พ่อ+แม่) 80,000 บาท/เดือน
- สัดส่วน ค่าเทอมลูก ที่เหมาะสม (10-15%): 8,000 – 12,000 บาท/เดือน
- แปลว่า: สามารถมองหาโรงเรียนเอกชนหรือสองภาษาบางแห่งที่มีค่าเทอมอยู่ในเกณฑ์นี้ได้
- ครอบครัว B: รายได้รวม (พ่อ+แม่) 200,000 บาท/เดือน
- สัดส่วน ค่าเทอมลูก ที่เหมาะสม (10-15%): 20,000 – 30,000 บาท/เดือน
- แปลว่า: มีทางเลือกมากขึ้น อาจจะมองโรงเรียนสองภาษาเต็มรูปแบบ หรือโรงเรียนนานาชาติบางแห่งได้
แล้วเงินที่เหลืออีก 85-90% หายไปไหน? นี่คือหัวใจสำคัญค่ะ! เงินก้อนนั้นต้องถูกจัดสรรไปเพื่อความมั่นคงของครอบครัวทั้งหมด ซึ่งได้แก่
- ค่าใช้จ่ายจำเป็น (50-60%): ค่าผ่อนบ้าน/รถ, ค่าน้ำไฟ, ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง ฯลฯ
- เงินออมและลงทุนเพื่อเกษียณ (10-15%): ส่วนนี้สำคัญมาก! เพราะอนาคตของเราในวันที่ไม่มีแรงทำงาน ของขวัญที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้ลูกได้คือ การที่เราดูแลตัวเองได้ในวัยชรา และไม่สร้างภาระให้ลูกโดยไม่ตั้งใจ
- เงินออมเป้าหมายอื่นและไลฟ์สไตล์ (10-20%): เงินสำหรับท่องเที่ยว, ซื้อของที่อยากได้, เงินสำรองฉุกเฉิน, เงินดาวน์รถคันใหม่ เป็นส่วนที่เติมเต็มความสุขให้ครอบครัว
การส่งลูกเรียนในโรงเรียนค่าเทอมสูงลิ่วอาจทำให้เรารู้สึกดีในวันนี้ แต่หากมันต้องแลกมากับการไม่มีเงินเก็บเพื่อวัยเกษียณของตัวเองเลย นั่นอาจหมายความว่า เราอาจเป็นภาระให้ลูกในอนาคตโดยไม่รู้ตัวนะคะ
3 ขั้นตอนสร้างแผนการเงินเพื่อ “ลูก-เรา-อนาคต”
เมื่อเราเข้าใจหลักการแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือทำทีละสเต็ปค่ะ
Step 1: สำรวจและตั้งเป้าหมาย
ก่อนจะออกเดินทาง ต้องรู้ก่อนว่าเราอยู่ตรงไหนและจะไปที่ไหนใช่ไหมคะ? การเงินก็เหมือนกันค่ะ
- กางบัญชีรายรับ-รายจ่าย: ลองทำบัญชีง่าย ๆ สัก 1-2 เดือน เพื่อให้เห็นภาพที่แท้จริงว่าเงินของเราไหลไปที่ไหนบ้าง อาจจะตกใจนิดหน่อย แต่ขั้นตอนนี้สำคัญมากค่ะ!
- คุยกันเรื่อง “โรงเรียนในฝัน”: นั่งคุยกับคู่ชีวิตของเราอย่างจริงจังว่าเราอยากให้ลูกเรียนโรงเรียนแนวไหน? ลองหาข้อมูลค่าเทอมของโรงเรียนเป้าหมาย 2-3 แห่ง เพื่อให้มีตัวเลขในใจ
- วาดฝันวัยเกษียณของเรา: ลองจินตนาการภาพตัวเองตอนอายุ 60 เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน? อยากมีเงินใช้จ่ายเดือนละเท่าไหร่? การมีภาพที่ชัดเจน จะทำให้เรามีแรงฮึดในการออมค่ะ
Step 2: จัดสรรงบประมาณแบบแม่ยุคใหม่
เมื่อเห็นภาพรวมแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการแบ่งสรรปันส่วนเงินเดือนของเรากันค่ะ ขอแนะนำ กฎ 50/30/20 ที่เข้าใจง่ายและใช้ได้ผลดีมาก ๆ
- 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น (Needs): ค่าบ้าน, ค่ารถ, ค่าน้ำไฟ, ค่าอาหาร, ค่าเดินทางไปทำงาน
- 30% สำหรับสิ่งที่อยากได้ (Wants): ช้อปปิ้ง, ท่องเที่ยว, กินข้าวนอกบ้าน, กิจกรรมสันทนาการ
- 20% สำหรับการออมและลงทุน (Savings & Investment): หัวใจอยู่ตรงนี้ค่ะ!
จากนั้น ให้เรา “เจาะลึก” เงิน 20% ก้อนนี้ เพื่อแบ่งไปยังเป้าหมายต่าง ๆ เช่น
- 10% สำหรับการเกษียณ: ใส่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), RMF, SSF ก่อนเลยค่ะ
- 5-7% สำหรับการศึกษาลูก: นี่คือส่วนที่เราจะนำไปลงทุนเพื่อเป้าหมายค่าเทอม
- 3-5% สำหรับเป้าหมายอื่น: เงินสำรองฉุกเฉิน, เงินดาวน์บ้าน/รถ
Tips: เมื่อเงินเดือนออก ให้ “หักออม 20% นี้ก่อน” แล้วค่อยนำที่เหลือไปใช้จ่ายนะคะ วิธีนี้จะช่วยให้เรามีเงินเก็บแน่นอนทุกเดือนค่ะ
Step 3: ให้เงินทำงานแทนเรา (Investment Tools)
การเก็บเงินค่าเทอมไว้ในบัญชีออมทรัพย์เฉย ๆ อาจไม่ทันเงินเฟ้อนะคะ เราต้องรู้จักเลือกใช้เครื่องมือที่ช่วยให้เงินของเราเติบโตขึ้นด้วย มาดูกันว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
- สำหรับเป้าหมาย “การศึกษาลูก” (ระยะกลาง-ยาว 10-18 ปี):
- กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) หรือ กองทุนรวมหุ้น (Equity Fund): เหมาะที่สุดสำหรับการลงทุนระยะยาวค่ะ เพราะมีโอกาสให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าเงินฝากมาก แนะนำให้ใช้วิธี DCA (Dollar-Cost Averaging) คือการตั้งโอนเงินลงทุนจำนวนเท่ากันทุกเดือน เช่น เดือนละ 3,000 บาท วิธีนี้ช่วยสร้างวินัยและลดความเสี่ยงจากตลาดที่ผันผวนได้ดีมากค่ะ
- ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-Linked): เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะได้ทั้งความคุ้มครองชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ (หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ลูกยังมีเงินเรียนต่อ) และโอกาสที่เงินจะเติบโตจากการลงทุนในกองทุนรวม
- สำหรับเป้าหมาย “ชีวิตหลังเกษียณ” (ระยะยาวมาก ๆ)
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กบข.: อันนี้คือภาคบังคับที่ต้องใส่ให้เต็มสิทธิ์เลยค่ะ เพราะมีนายจ้างช่วยสมทบ เหมือนเราได้เงินเพิ่มฟรี ๆ
- กองทุน RMF (เพื่อการเลี้ยงชีพ) / SSF (เพื่อการออม): เป็นตัวช่วยชั้นดีในการสร้างพอร์ตเกษียณ แถมยังได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเป็นของแถมด้วย
การวางแผนการเงินเพื่อลูก ไม่ได้จบแค่การเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุด แต่คือการสร้างความมั่นคงที่ยั่งยืนให้กับทั้งครอบครัวค่ะ การศึกษาของลูกสำคัญมาก แต่สุขภาพทางการเงินและความสุขในวัยเกษียณของเราก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะ…ของขวัญที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้ลูกได้ ไม่ใช่โรงเรียนที่แพงที่สุด แต่คือพ่อแม่ที่มีความสุขและสามารถดูแลตัวเองได้ในวัยชรา โดยไม่ทิ้งภาระไว้ให้เขาต้องแบกรับ
ที่มา : 9choke.com , ตลาดหลักทรัพย์แหล่งประเทศไทย, Finnomena
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ