คุณแม่หลังคลอดหลายท่านอาจพบปัญหา แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน เจ็บแผลผ่าคลอดเป็นเวลานาน ไม่หายสักที สร้างความกังวลใจให้กับคุณแม่อย่างมาก บทความนี้จะช่วยให้คุณแม่รู้เกี่ยวกับ แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน อาการ สาเหตุ การป้องกันและรักษา รวมถึงเคล็ดลับให้แผลผ่าคลอดหายเร็ว
สารบัญ
แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน อาการเป็นยังไง
หลังจากการผ่าคลอด คุณแม่หลายคนอาจรู้สึกปวด บวม แดง ร้อนบริเวณแผล ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าอาการเหล่านี้รุนแรงขึ้น หรือมีอาการเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ แสดงว่าแผลอาจมีการติดเชื้อและอักเสบ
- ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ: อาการปวดไม่ทุเลาลง แม้จะทานยาแก้ปวดแล้ว
- บวมแดงลาม: บริเวณที่บวมแดงลามออกไปจากแผลมากขึ้นเรื่อยๆ
- ร้อน: รู้สึกว่าบริเวณแผลร้อนผิดปกติ
- มีหนอง: มีของเหลวสีเหลืองหรือเขียวไหลออกมาจากแผล
- มีไข้: มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
- รู้สึกหนาวสั่น: มีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
- เหนื่อยล้าผิดปกติ: รู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ
- หัวใจเต้นเร็ว: หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
- กลิ่นเหม็นออกมาจากแผล: มีกลิ่นเหม็นออกมาจากแผล
แยกแยะอาการปกติหลังผ่าคลอด กับ อาการผิดปกติที่บ่งบอกถึงการอักเสบ
อาการ | อาการปกติหลังผ่าคลอด |
อาการผิดปกติ (บ่งบอกถึงการอักเสบ)
|
ปวด | ปวดเบาๆ ถึงปานกลาง สามารถทนได้ |
ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ปวดร้าว ไม่ทุเลาลงแม้ทานยาแก้ปวด
|
บวม | บวมเล็กน้อยบริเวณแผล |
บวมมากขึ้นเรื่อยๆ บวมแดงลามออกไป
|
แดง | แดงรอบๆ แผลเล็กน้อย |
แดงมากขึ้นเรื่อยๆ แดงลามออกไป
|
ร้อน | รู้สึกอุ่นๆ บริเวณแผล | รู้สึกร้อนผิดปกติ |
มีของเหลวไหลออกมา | มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย สีชมพูหรือแดง |
มีหนองสีเหลืองหรือเขียวไหลออกมา
|
อุณหภูมิร่างกาย | อุณหภูมิร่างกายปกติ |
มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
|
อาการอื่นๆ | อาจมีอาการอื่นๆ เช่น ท้องผูก ท้องอืด ซึ่งเป็นอาการปกติหลังผ่าคลอด |
มีอาการหนาวสั่น เหนื่อยล้าผิดปกติ หัวใจเต้นเร็ว
|
แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน เกิดจากอะไร
แผลผ่าคลอดอักเสบข้างในนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปในแผลผ่าตัด ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- การติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นสาเหตุหลักที่พบบ่อยที่สุด แบคทีเรียอาจเข้าสู่แผลได้หลายทาง เช่น
- จากผิวหนัง: แบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนังอาจเข้าสู่แผลขณะทำความสะอาดแผล หรือเมื่อมีการสัมผัสแผลโดยตรง
- จากอุปกรณ์ทางการแพทย์: อุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่าตัดอาจปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย
- จากอากาศ: แบคทีเรียในอากาศอาจเข้าสู่แผลได้
- การดูแลแผลไม่ถูกวิธี การทำความสะอาดแผลไม่สะอาด การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง หรือการสัมผัสแผลบ่อยเกินไป อาจทำให้แผลอักเสบได้
- ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด หรือผู้ที่ขาดสารอาหาร จะมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
- โรคประจำตัวอื่นๆ โรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคปอด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อได้
- การผ่าตัดซ้ำ การผ่าตัดซ้ำในบริเวณเดิมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
แผลผ่าคลอดข้างใน กี่เดือนหาย
ระยะเวลาที่แผลผ่าคลอดจะหายสนิทนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปประมาณ 6 เดือน แผลจะจางลงและดูเรียบเนียนขึ้น แต่กระบวนการสมานแผลอาจใช้เวลานานกว่านั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
- 1 สัปดาห์แรก: แผลภายนอกจะเริ่มสมานตัว แต่ภายในยังคงมีการซ่อมแซม
- 2-4 สัปดาห์: ผิวหนังชั้นในเริ่มสมานกันมากขึ้น แผลจะค่อยๆ แข็งตัว
- 6 เดือน: แผลจะเปลี่ยนสีจากแดงอมม่วงเป็นสีขาวซีด
- หลังจาก 6 เดือน: แผลจะค่อยๆ เรียบเนียนขึ้นจนดูเหมือนผิวหนังปกติ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการหายของแผล
- การดูแลแผล: การทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี การพักผ่อนให้เพียงพอ และการทานอาหารที่มีประโยชน์ จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
- สภาพร่างกาย: ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ภูมิคุ้มกันดี จะมีแผลหายเร็วกว่าผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- ขนาดและตำแหน่งของแผล: แผลที่ใหญ่หรืออยู่ในตำแหน่งที่เคลื่อนไหวบ่อย จะใช้เวลานานในการหายกว่าแผลเล็ก
- เทคนิคการผ่าตัด: แพทย์ผู้ผ่าตัดจะเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อระยะเวลาการหายของแผล
- การติดเชื้อ: หากแผลติดเชื้อ จะทำให้การหายของแผลช้าลง และอาจเกิดรอยแผลเป็นที่ใหญ่ขึ้น
สิ่งที่คุณแม่สามารถทำได้เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
- ทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์: ใช้สบู่ที่อ่อนโยน ล้างน้ำให้สะอาด และซับให้แห้ง
- เปลี่ยนผ้าพันแผลตามกำหนด: เปลี่ยนผ้าพันแผลตามที่แพทย์แนะนำ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยไม่จำเป็น: ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสแผล
- พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- ทานอาหารที่มีประโยชน์: อาหารที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ จะช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่หนักเกินไป: งดการยกของหนัก หรือการออกกำลังกายที่หนักเกินไป
- ปรึกษาแพทย์หากมีอาการผิดปกติ: เช่น แผลบวม แดง ร้อน มีหนอง หรือมีไข้
แผลผ่าคลอด เป็นก้อนแข็งข้างใน อันตรายไหม ทำยังไงดี
การพบก้อนแข็งบริเวณแผลผ่าคลอดหลังคลอดเป็นเรื่องที่คุณแม่หลายคนกังวล ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัด เนื่องจากร่างกายกำลังซ่อมแซมตัวเอง โดยทั่วไปแล้ว เนื้อเยื่อแผลเป็นที่เป็นก้อนแข็งจะไม่เป็นอันตราย แต่หากก้อนแข็งมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือทำให้รู้สึกเจ็บปวด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ
สาเหตุที่ทำให้เกิดก้อนแข็งบริเวณแผลผ่าคลอด
- เนื้อเยื่อแผลเป็น: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นเพื่อปิดแผล ซึ่งอาจรู้สึกเป็นก้อนแข็งได้
- ซีสต์: อาจเกิดซีสต์ขนาดเล็กบริเวณแผลผ่าคลอดได้
- การอักเสบเรื้อรัง: หากแผลติดเชื้อหรืออักเสบ อาจก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและก้อนแข็ง
- ลิ่มเลือด: ในบางกรณี อาจเกิดลิ่มเลือดอุดตันบริเวณแผลได้ แต่พบได้น้อยมาก
เจ็บแผลผ่าคลอด ข้างใน 1 ปี ปกติไหม
การที่เจ็บแผลผ่าคลอดนานถึง 1 ปี ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ และควรได้รับการตรวจสอบจากแพทย์ เพราะโดยปกติแล้วอาการปวดจากแผลผ่าคลอดจะค่อยๆ ทุเลาลงภายใน 2-4 สัปดาห์แรก และหายไปเกือบหมดภายใน 1 เดือน หากคุณแม่พบอาการผิดปกติของแผลผ่าคลอด ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
กินอะไรให้แผลผ่าคลอดหายเร็ว
การเลือกรับประทานอาหารบำรุงร่างกายหลังผ่าคลอดเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะอาหารที่ดีมีประโยชน์จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และช่วยให้แผลหายได้ดีขึ้นด้วยค่ะ
หลักการเลือกอาหารหลังผ่าคลอด
- เน้นอาหารอ่อน นุ่ม ย่อยง่าย: เพื่อไม่ให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนักเกินไป และช่วยให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
- ไขมันต่ำ: หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน หรืออาหารที่มีไขมันสูง เพราะจะทำให้อาหารย่อยยาก และอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
- กลิ่นอ่อน รสไม่จัด: เพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร และไม่ทำให้อาเจียน
- ครบ 5 หมู่: ควรได้รับอาหารครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
- เน้นโปรตีน: โปรตีนช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
- พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งกระด้าง หรือมีกากใยมาก: เพราะจะทำให้การย่อยอาหารยากขึ้น และอาจทำให้แผลระบมได้
ตัวอย่างอาหารที่ควรรับประทาน
- โปรตีน: เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น ไก่ต้ม ปลาต้ม เนื้อวัวตุ๋น ไข่ต้ม เต้าหู้
- ผัก: ผักใบเขียวที่นิ่ม เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักโขม
- ผลไม้: กล้วยสุก มะละกอสุก มะม่วงสุก แตงโม
- ธัญพืช: ข้าวสวย ข้าวต้ม โจ๊ก
- นมและผลิตภัณฑ์จากนม: นมพร่องมันเนย โยเกิร์ต
ตัวอย่างเมนูอาหาร
- มื้อเช้า: โจ๊กใส่ไข่ต้มสุก
- มื้อกลางวัน: ข้าวสวย ปลาทูต้ม ผักโขมลวก
- มื้อเย็น: ข้าวต้มกุ้งสับ ผักบุ้งลวก
ข้อควรระวัง
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด: อาหารรสจัดจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
- หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง: อาหารหมักดองอาจมีแบคทีเรียที่เป็นอันตราย
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกากใยมาก: อาจทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และทำให้แผลระบม
- ดื่มน้ำมากๆ: การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
หลังผ่าคลอด คุณแม่ควรดูแลแผลผ่าคลอดอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน หากมีข้อสงสัยหรือพบอาการผิดปกติ คุณแม่ควรไปปรึกษาแพทย์ทันที และขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ แผลผ่าคลอดหายดีโดยเร็วนะคะ
ท่ีมา : โรงพยาบาลวิมุต , โรงพยาบาลกรุงเทพ , โรงพยาบาลแมคคอร์มิค , hellokhunmor
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
วิธีทำให้แผลแห้ง ตกสะเก็ดเร็ว แม่ผ่าคลอดควรรู้ ลดรอยแผลเป็น
ผ่าคลอดท้องไม่ยุบ ทำอย่างไรให้ร่างกายกลับมาฟิตเปรี๊ยะ
15 คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด เรื่องน่ารู้ก่อนเป็นคุณแม่