แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน ป้องกันและดูแลอย่างไร ให้แผลผ่าคลอดหายสนิท

คุณแม่หลังคลอดหลายท่านอาจพบปัญหา แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน เจ็บแผลผ่าคลอดเป็นเวลานาน ไม่หายสักที ทำยังไงดี รวมถึงเคล็ดลับให้แผลผ่าคลอดหายเร็ว

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

คุณแม่หลังคลอดหลายท่านอาจพบปัญหา แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน เจ็บแผลผ่าคลอดเป็นเวลานาน ไม่หายสักที สร้างความกังวลใจให้กับคุณแม่อย่างมาก บทความนี้จะช่วยให้คุณแม่รู้เกี่ยวกับ แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน อาการ สาเหตุ การป้องกันและรักษา รวมถึงเคล็ดลับให้แผลผ่าคลอดหายเร็ว

 

แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน อาการเป็นยังไง

หลังจากการผ่าคลอด คุณแม่หลายคนอาจรู้สึกปวด บวม แดง ร้อนบริเวณแผล ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าอาการเหล่านี้รุนแรงขึ้น หรือมีอาการเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ แสดงว่าแผลอาจมีการติดเชื้อและอักเสบ

  • ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ: อาการปวดไม่ทุเลาลง แม้จะทานยาแก้ปวดแล้ว
  • บวมแดงลาม: บริเวณที่บวมแดงลามออกไปจากแผลมากขึ้นเรื่อยๆ
  • ร้อน: รู้สึกว่าบริเวณแผลร้อนผิดปกติ
  • มีหนอง: มีของเหลวสีเหลืองหรือเขียวไหลออกมาจากแผล
  • มีไข้: มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
  • รู้สึกหนาวสั่น: มีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
  • เหนื่อยล้าผิดปกติ: รู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ
  • หัวใจเต้นเร็ว: หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • กลิ่นเหม็นออกมาจากแผล: มีกลิ่นเหม็นออกมาจากแผล

แยกแยะอาการปกติหลังผ่าคลอด กับ อาการผิดปกติที่บ่งบอกถึงการอักเสบ

อาการ อาการปกติหลังผ่าคลอด
อาการผิดปกติ (บ่งบอกถึงการอักเสบ)
ปวด ปวดเบาๆ ถึงปานกลาง สามารถทนได้
ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ปวดร้าว ไม่ทุเลาลงแม้ทานยาแก้ปวด
บวม บวมเล็กน้อยบริเวณแผล
บวมมากขึ้นเรื่อยๆ บวมแดงลามออกไป
แดง แดงรอบๆ แผลเล็กน้อย
แดงมากขึ้นเรื่อยๆ แดงลามออกไป
ร้อน รู้สึกอุ่นๆ บริเวณแผล รู้สึกร้อนผิดปกติ
มีของเหลวไหลออกมา มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย สีชมพูหรือแดง
มีหนองสีเหลืองหรือเขียวไหลออกมา
อุณหภูมิร่างกาย อุณหภูมิร่างกายปกติ
มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
อาการอื่นๆ อาจมีอาการอื่นๆ เช่น ท้องผูก ท้องอืด ซึ่งเป็นอาการปกติหลังผ่าคลอด
มีอาการหนาวสั่น เหนื่อยล้าผิดปกติ หัวใจเต้นเร็ว

แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน เกิดจากอะไร

แผลผ่าคลอดอักเสบข้างในนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปในแผลผ่าตัด ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นสาเหตุหลักที่พบบ่อยที่สุด แบคทีเรียอาจเข้าสู่แผลได้หลายทาง เช่น
    • จากผิวหนัง: แบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนังอาจเข้าสู่แผลขณะทำความสะอาดแผล หรือเมื่อมีการสัมผัสแผลโดยตรง
    • จากอุปกรณ์ทางการแพทย์: อุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่าตัดอาจปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย
    • จากอากาศ: แบคทีเรียในอากาศอาจเข้าสู่แผลได้
  • การดูแลแผลไม่ถูกวิธี การทำความสะอาดแผลไม่สะอาด การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง หรือการสัมผัสแผลบ่อยเกินไป อาจทำให้แผลอักเสบได้
  • ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด หรือผู้ที่ขาดสารอาหาร จะมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
  • โรคประจำตัวอื่นๆ โรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคปอด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อได้
  • การผ่าตัดซ้ำ การผ่าตัดซ้ำในบริเวณเดิมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

 

แผลผ่าคลอดข้างใน กี่เดือนหาย

ระยะเวลาที่แผลผ่าคลอดจะหายสนิทนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปประมาณ 6 เดือน แผลจะจางลงและดูเรียบเนียนขึ้น แต่กระบวนการสมานแผลอาจใช้เวลานานกว่านั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • 1 สัปดาห์แรก: แผลภายนอกจะเริ่มสมานตัว แต่ภายในยังคงมีการซ่อมแซม
  • 2-4 สัปดาห์: ผิวหนังชั้นในเริ่มสมานกันมากขึ้น แผลจะค่อยๆ แข็งตัว
  • 6 เดือน: แผลจะเปลี่ยนสีจากแดงอมม่วงเป็นสีขาวซีด
  • หลังจาก 6 เดือน: แผลจะค่อยๆ เรียบเนียนขึ้นจนดูเหมือนผิวหนังปกติ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการหายของแผล

  • การดูแลแผล: การทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี การพักผ่อนให้เพียงพอ และการทานอาหารที่มีประโยชน์ จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
  • สภาพร่างกาย: ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ภูมิคุ้มกันดี จะมีแผลหายเร็วกว่าผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ขนาดและตำแหน่งของแผล: แผลที่ใหญ่หรืออยู่ในตำแหน่งที่เคลื่อนไหวบ่อย จะใช้เวลานานในการหายกว่าแผลเล็ก
  • เทคนิคการผ่าตัด: แพทย์ผู้ผ่าตัดจะเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อระยะเวลาการหายของแผล
  • การติดเชื้อ: หากแผลติดเชื้อ จะทำให้การหายของแผลช้าลง และอาจเกิดรอยแผลเป็นที่ใหญ่ขึ้น

 

สิ่งที่คุณแม่สามารถทำได้เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

  • ทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์: ใช้สบู่ที่อ่อนโยน ล้างน้ำให้สะอาด และซับให้แห้ง
  • เปลี่ยนผ้าพันแผลตามกำหนด: เปลี่ยนผ้าพันแผลตามที่แพทย์แนะนำ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยไม่จำเป็น: ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสแผล
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์: อาหารที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ จะช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่หนักเกินไป: งดการยกของหนัก หรือการออกกำลังกายที่หนักเกินไป
  • ปรึกษาแพทย์หากมีอาการผิดปกติ: เช่น แผลบวม แดง ร้อน มีหนอง หรือมีไข้

 

แผลผ่าคลอด เป็นก้อนแข็งข้างใน อันตรายไหม ทำยังไงดี

การพบก้อนแข็งบริเวณแผลผ่าคลอดหลังคลอดเป็นเรื่องที่คุณแม่หลายคนกังวล ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัด เนื่องจากร่างกายกำลังซ่อมแซมตัวเอง โดยทั่วไปแล้ว เนื้อเยื่อแผลเป็นที่เป็นก้อนแข็งจะไม่เป็นอันตราย แต่หากก้อนแข็งมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือทำให้รู้สึกเจ็บปวด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ

สาเหตุที่ทำให้เกิดก้อนแข็งบริเวณแผลผ่าคลอด

  • เนื้อเยื่อแผลเป็น: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นเพื่อปิดแผล ซึ่งอาจรู้สึกเป็นก้อนแข็งได้
  • ซีสต์: อาจเกิดซีสต์ขนาดเล็กบริเวณแผลผ่าคลอดได้
  • การอักเสบเรื้อรัง: หากแผลติดเชื้อหรืออักเสบ อาจก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและก้อนแข็ง
  • ลิ่มเลือด: ในบางกรณี อาจเกิดลิ่มเลือดอุดตันบริเวณแผลได้ แต่พบได้น้อยมาก

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เจ็บแผลผ่าคลอด ข้างใน 1 ปี ปกติไหม

การที่เจ็บแผลผ่าคลอดนานถึง 1 ปี ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ และควรได้รับการตรวจสอบจากแพทย์ เพราะโดยปกติแล้วอาการปวดจากแผลผ่าคลอดจะค่อยๆ ทุเลาลงภายใน 2-4 สัปดาห์แรก และหายไปเกือบหมดภายใน 1 เดือน หากคุณแม่พบอาการผิดปกติของแผลผ่าคลอด ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

 

กินอะไรให้แผลผ่าคลอดหายเร็ว

การเลือกรับประทานอาหารบำรุงร่างกายหลังผ่าคลอดเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะอาหารที่ดีมีประโยชน์จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และช่วยให้แผลหายได้ดีขึ้นด้วยค่ะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

หลักการเลือกอาหารหลังผ่าคลอด

  • เน้นอาหารอ่อน นุ่ม ย่อยง่าย: เพื่อไม่ให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนักเกินไป และช่วยให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
  • ไขมันต่ำ: หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน หรืออาหารที่มีไขมันสูง เพราะจะทำให้อาหารย่อยยาก และอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
  • กลิ่นอ่อน รสไม่จัด: เพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร และไม่ทำให้อาเจียน
  • ครบ 5 หมู่: ควรได้รับอาหารครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
  • เน้นโปรตีน: โปรตีนช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
  • พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งกระด้าง หรือมีกากใยมาก: เพราะจะทำให้การย่อยอาหารยากขึ้น และอาจทำให้แผลระบมได้

ตัวอย่างอาหารที่ควรรับประทาน

  • โปรตีน: เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น ไก่ต้ม ปลาต้ม เนื้อวัวตุ๋น ไข่ต้ม เต้าหู้
  • ผัก: ผักใบเขียวที่นิ่ม เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักโขม
  • ผลไม้: กล้วยสุก มะละกอสุก มะม่วงสุก แตงโม
  • ธัญพืช: ข้าวสวย ข้าวต้ม โจ๊ก
  • นมและผลิตภัณฑ์จากนม: นมพร่องมันเนย โยเกิร์ต

ตัวอย่างเมนูอาหาร

  • มื้อเช้า: โจ๊กใส่ไข่ต้มสุก
  • มื้อกลางวัน: ข้าวสวย ปลาทูต้ม ผักโขมลวก
  • มื้อเย็น: ข้าวต้มกุ้งสับ ผักบุ้งลวก

ข้อควรระวัง

  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด: อาหารรสจัดจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
  • หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง: อาหารหมักดองอาจมีแบคทีเรียที่เป็นอันตราย
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกากใยมาก: อาจทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และทำให้แผลระบม
  • ดื่มน้ำมากๆ: การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น

 

หลังผ่าคลอด คุณแม่ควรดูแลแผลผ่าคลอดอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันแผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน หากมีข้อสงสัยหรือพบอาการผิดปกติ คุณแม่ควรไปปรึกษาแพทย์ทันที และขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ แผลผ่าคลอดหายดีโดยเร็วนะคะ

ท่ีมา : โรงพยาบาลวิมุต , โรงพยาบาลกรุงเทพ , โรงพยาบาลแมคคอร์มิค , hellokhunmor

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

วิธีทำให้แผลแห้ง ตกสะเก็ดเร็ว แม่ผ่าคลอดควรรู้ ลดรอยแผลเป็น

ผ่าคลอดท้องไม่ยุบ ทำอย่างไรให้ร่างกายกลับมาฟิตเปรี๊ยะ

15 คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด เรื่องน่ารู้ก่อนเป็นคุณแม่

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา