ลูกไม่กลับหัว ผ่าคลอดแบบไหน แม่ใกล้คลอดควรรู้!

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เมื่อลูกน้อยไม่ยอมกลับหัว การคลอดธรรมชาติอาจเป็นไปได้ยากและมีความเสี่ยงสูง คุณแม่หลายท่านจึงกังวลว่าต้องผ่าคลอดแบบไหน วันนี้เรามีคำตอบมาให้ว่า เมื่อ ลูกไม่กลับหัว ผ่าคลอดแบบไหน และความจริงแล้วลูกน้อยในครรภ์ของคุณทำไมถึงไม่ยอมกลับหัว หรือว่าพวกเขากำลังพบกับปัญหาอะไรอยู่หรือเปล่า มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน

 

ลูกไม่กลับหัว มีสาเหตุมาจากอะไร

ทารกในครรภ์ที่ไม่กลับหัว หรืออยู่ในท่านอนตะแคง (Breech Presentation) พบได้บ่อยในช่วงปลายการตั้งครรภ์ หรือในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาส 3 โดยปกติแล้ว ทารกจะเริ่มกลับหัวลงสู่ตำแหน่งคลอดประมาณ 32-34 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ แต่ในบางกรณี ทารกอาจไม่กลับหัว ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้ 

  • ขนาดของทารก: ทารกที่ตัวใหญ่โตเกินไป อาจมีพื้นที่ในมดลูกไม่เพียงพอสำหรับการหมุนตัว
  • ลักษณะของมดลูก: มดลูกที่มีรูปร่างผิดปกติ เช่น มดลูกมีติ่งเนื้อ มดลูกมีก้นแบน หรือมดลูกสองแฉก อาจทำให้ทารกไม่สามารถหมุนตัวได้สะดวก
  • ปัจจัยที่เกี่ยวกับทารก: ทารกที่มีความผิดปกติทางโครงสร้าง เช่น โรคกระดูกสันหลังคด หรือทารกที่มีสายสะดือพันคอ อาจทำให้ทารกไม่สามารถหมุนตัวได้
  • ปัจจัยที่เกี่ยวกับมดลูก: มดลูกที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแอ หรือมีน้ำคร่ำน้อย อาจทำให้ทารกไม่สามารถหมุนตัวได้

 

 

ความเสี่ยงของการที่ลูกไม่กลับหัว

อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าทารกในครรภ์จะเริ่มกลับหัวลงสู่ตำแหน่งคลอด หรือหันศีรษะลงด้านล่างประมาณ 32-34 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ แต่บางกรณี ทารกอาจยังไม่กลับหัว แม้จะถึงกำหนดคลอดแล้ว ซึ่งทารกที่ไม่กลับหัวเรียกว่า “ทารกท่าขวาง” โดยความเสี่ยงของการที่ลูกไม่กลับหัว มีดังนี้

  • การคลอดที่ยากลำบาก: ทารกท่าขวางอาจทำให้การคลอดเป็นไปได้ยากขึ้น เช่น ท่าก้นลง (Breech Presentation) หรือ ท่าขวาง (Transverse Presentation) ส่งผลทำให้การคลอดธรรมชาติเป็นไปได้ยาก อาจจำเป็นต้องผ่าคลอด หรือใช้เครื่องมือช่วยคลอด เช่น เครื่องดูดสูญญากาศ หรือคีม
  • ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ : ในบางกรณี ทารกที่ไม่กลับนั้นอาจกำลังเผชิญกับความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น สายสะดือพันคอ การขาดออกซิเจนของทารก หรือการบาดเจ็บที่อวัยวะเพศของแม่ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ทารกส่วนใหญ่ที่ไม่กลับหัวก่อนคลอด มักจะกลับหัวลงในระหว่างการคลอด แพทย์จะติดตามตำแหน่งของทารกอย่างใกล้ชิด และอาจแนะนำวิธีช่วยให้ทารกกลับหัว เช่น การบริหารท่า หรือการกระตุ้นจากภายนอก หากคุณกังวล ว่าลูกของคุณอาจไม่กลับหัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ แพทย์จะประเมินสถานการณ์และแนะนำแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

 

ท่าของทารกในครรภ์ช่วงใกล้คลอด

ทารกในครรภ์ช่วงใกล้คลอด มักจะอยู่ในท่าศีรษะล่าง หมายความว่า ศีรษะของทารกจะอยู่ต่ำสุด ชี้ลงมาทางปากมดลูก ท่านี้เป็นท่าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการคลอด เพราะช่วยให้ทารกสามารถผ่านช่องคลอดออกมาได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ยังมีท่าอื่น ๆ ที่พบได้บ้างในทารกช่วงใกล้คลอด ได้แก่

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • ท่าก้น (Breech position)

ทารกท่าก้น คือการที่ทารกอยู่ในครรภ์ในท่าที่ไม่ได้ศีรษะลงล่าง แต่เป็นก้นหรือขาลงแทน ท่านี้พบได้ประมาณ 3-4% ของการตั้งครรภ์ทั่วไป ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการคลอดธรรมชาติมากกว่าทารกท่าปกติ ความเสี่ยงของการคลอดทารกท่าก้น คือทารกอาจติดอยู่บริเวณอุ้งเชิงกราน ไม่สามารถคลอดออกมาได้ตามธรรมชาติ ทั้งนี้ทารกอาจได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ คอ หรือไหล่ รวมถึงทารกอาจขาดออกซิเจนระหว่างคลอดได้ ซึ่งในบางกรณี ทารกอาจเสียชีวิตระหว่างคลอด

  • ท่าขวาง (Transverse lie baby)

ทารกในครรภ์ท่าขวาง หรือ ทารกนอนขวาง หมายถึง ทารกไม่ได้อยู่ในท่าศีรษะล่าง แทนที่จะเป็นศีรษะ ทารกจะนอนตะแคง โดยมีไหล่ ก้น หรือขา อยู่ตำแหน่งต่ำสุดของมดลูก ท่าขวางนี้พบได้ประมาณ 1% ของการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่แล้วทารกที่อยู่ในท่าขวางมักมีสาเหตุมาจาก น้ำคร่ำน้อย ทารกตัวโต ทารกแฝด มดลูกมีรูปร่างผิดปกติ รกลอกก่อนกำหนด หรือคุณแม่เคยมีประวัติการคลอดท่าขวางมาก่อน

  • ท่าหน้าผาก (Brow presentation)

ทารกท่าหน้าผาก เป็นท่าการคลอดที่ผิดปกติ คือทารกอยู่ในท่าศีรษะล่าง แต่หน้าผากของทารกจะหันไปทางกระดูกสันหลังของแม่ แทนที่จะหันไปทางหน้าท้อง โดยท่านี้พบได้น้อย ประมาณ 0.1-0.2% ของการคลอดทั้งหมด โดยสาเหตุที่ทำให้ทารกอยู่ในท่าหน้าผากนั้นยังไม่แน่ชัด แต่มีการสันนิษฐานว่าเกิดจากการที่ ทารกตัวเล็กมีพื้นที่ขยับในครรภ์มาก รูปร่างของอุ้งเชิงกรานที่ผิดปกติ น้ำคร่ำน้อย หรือเป็นการตั้งครรภ์ครั้งแรกของคุณแม่ 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ลูกไม่กลับหัว ผ่าคลอดแบบไหน? 

เมื่อลูกน้อยอยู่ในที่ไม่ถูกต้อง หมายความว่าลูกไม่ได้อยู่ในท่าศีรษะลง ซึ่งเป็นท่าปกติสำหรับการคลอดธรรมชาติ หากเกิดกรณีเช่นนี้ การผ่าคลอดจะเป็นวิธีการคลอดที่ปลอดภัยที่สุด โดยมีตัวเลือกหลักสองวิธีดังนี้ 

  • การผ่าคลอดแบบผ่าหน้าท้อง (Cesarean Section)

การผ่าคลอดแบบผ่าหน้าท้อง หรือที่เรียกว่าการผ่าตัดคลอดบุตร (C-section) เป็นการผ่าตัดที่ทำเพื่อนำทารกออกจากมดลูกผ่านแผลหน้าท้อง โดยแพทย์จะทำการผ่าเปิดช่องท้องและมดลูกของคุณแม่เพื่อดึงทารกออกจากครรภ์ หลังจากนั้นจะทำการปิดแผลที่ผ่าด้วยการเย็บ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและเพื่อกระตุ้นให้แผลหายและหนาตามปกติ โดยการผ่าคลอดแบบผ่าหน้าท้อง จะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าการคลอดธรรมชาติ แต่สามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงสำหรับคุณแม่และลูกน้อยของคุณได้ 

  • การผ่าคลอดแบบผ่าช่องคลอด (Vaginal Breech Delivery)

การผ่าคลอดแบบผ่าช่องคลอด หรือที่รู้จักกันในชื่อ การคลอดก้นทางช่องคลอด เป็นวิธีการคลอดบุตรที่ทารกคลอดออกมาทางช่องคลอด แทนที่จะผ่าตัดหน้าท้อง โดยการคลอดก้นทางช่องคลอด นิยมใช้ในกรณีที่ทารกในครรภ์อยู่ในท่าก้น (Breech position) และในบางกรณีอาจใช้เครื่องดูดสูญญากาศ หรือคีมหนีบร่วมด้วยเพื่อช่วยดึงทารกออกมาจากครรภ์ของคุณแม่ 

 

 

ตารางเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการผ่าคลอดแบบผ่าหน้าท้องและผ่าช่องคลอด

หัวข้อ การผ่าคลอดแบบผ่าหน้าท้อง
การผ่าคลอดแบบผ่าช่องคลอด
วิธีการผ่า แพทย์จะทำการกรีดแผลที่หน้าท้องของคุณแม่ บริเวณเหนือหัวหน่าว ประมาณ 4-6 นิ้ว จากนั้นจึงนำทารกออกจากมดลูก
แพทย์จะทำการกรีดแผลที่ปากช่องคลอด ประมาณ 3-4 ซม. จากนั้นจึงนำทารกออกจากมดลูก
ระยะเวลาผ่าตัด ใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที
ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที
การบล็อกยา คุณแม่จะได้รับยาสลบแบบทั่วไป หมดสติระหว่างผ่าตัด
คุณแม่จะได้รับยาชาแบบบล็อกหลัง หรือ ยาชาแบบ epidural รู้สึกตัวระหว่างผ่าตัด แต่ไม่รู้สึกเจ็บ
การฟื้นตัว ใช้เวลานานกว่า รู้สึกเจ็บแผลนาน ต้องพักฟื้นในโรงพยาบาล 3-5 วัน
ใช้เวลาฟื้นตัวเร็วกว่า รู้สึกเจ็บแผลน้อยกว่า พักฟื้นในโรงพยาบาล 1-2 วัน
แผลผ่าตัด แผลเป็นยาวประมาณ 4-6 นิ้ว แนวขวางเหนือหัวหน่าว
แผลเป็นยาวประมาณ 3-4 ซม. ที่ปากช่องคลอด มองเห็นได้ยาก
ความเสี่ยง เสี่ยงต่อการติดเชื้อ มีเลือดออกมาก เสี่ยงต่อการเกิดพังผืดในช่องท้อง เสี่ยงต่อมดลูกบวม เสี่ยงต่อการบาดเจ็บต่อทารก
เสี่ยงต่อการติดเชื้อ มีเลือดออกมาก เสี่ยงต่อการฉีกขาดของช่องคลอดและปากมดลูก เสี่ยงต่อการบาดเจ็บต่อทารก น้อยกว่าการผ่าหน้าท้อง
ข้อดี เหมาะกับคุณแม่ที่มีภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง เช่น ทารกอยู่ในท่าขวาง ทารกตัวใหญ่ ครรภ์แฝด มดลูกมีแผลเป็นจากการผ่าตัดคลอดมาก่อน
ฟื้นตัวเร็วกว่า รู้สึกเจ็บแผลน้อยกว่า แผลเป็นเล็กกว่า
ข้อเสีย ใช้เวลานานกว่าในการผ่าตัด รู้สึกเจ็บแผลนาน เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่า
ไม่เหมาะกับคุณแม่ที่มีภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง เช่น ทารกอยู่ในท่าขวาง ทารกตัวใหญ่ ครรภ์แฝด มดลูกมีแผลเป็นจากการผ่าตัดคลอดมาก่อน

หมายเหตุ: ข้อมูลในตารางนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป การผ่าคลอดแบบผ่าหน้าท้องหรือผ่าช่องคลอด ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทราบวิธีการผ่าคลอดที่เหมาะสมกับคุณแม่มากที่สุด

 

ที่มา: stuitinwest.nl, betterhealth.vic.gov.au, whattoexpect.com

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

15 คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด เรื่องน่ารู้ก่อนเป็นคุณแม่

ยาลดรอยแผลเป็น สำหรับแม่ผ่าคลอด แบบไหนไม่เป็นคีลอยด์

หลังผ่าตัดห้ามกินอะไร อาหารแสลง แม่ผ่าคลอดควรรู้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความโดย

Siriluck Chanakit