หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นรอบตัวเรา หนึ่งในนั้น คือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มีทั้งดี และไม่ดี ส่งผลให้เกิดความสวยงาม จนหลายคนมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องตามหา มองดูเป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือเกิดผลกระทบร้ายแรงต่อมนุษย์ได้เช่นกัน แต่ในวันนี้เราจะเห็นเด็ก ๆ ได้เห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามกันก่อน จะมีอะไรบ้างดูได้ในบทความนี้เลย
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติคืออะไร
เป็นการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบธรรมชาติ เกิดขึ้นได้ทั้งในแบบมีขั้นตอนตายตัว และไม่ตายตัว สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในระยะสั้น หรือระยะยาว สามารถเกิดขึ้นได้รอบตัวเรา และส่งผลกระทบต่อมนุษย์ สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และส่งผลต่อธรรมชาติได้เองด้วยทั้งในทางที่ดีมีความสวยงาม หรือส่งผลร้ายเกิดความเสียหาย เป็นต้น โดยมากปกติแล้วมักจะเกิดขึ้นจากกระบวนการของธรรมชาติเอง แต่ในบางกระบวนการ อาจได้รับผลกระทบ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงกับกิจกรรมของมนุษย์ที่สะสมมานานได้เช่นกัน
บทความที่เกี่ยวข้อง : รุ้งกินน้ำ เกิดจากอะไร ? การเกิดรุ้งกินน้ำ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เด็ก ๆ ควรรู้ !
วิดีโอจาก : Abdulthaitube
5 ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สวยงาม และแปลกใหม่
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาตินั้น จากที่เรากล่าวไปว่า มีทั้งดี และไม่ดี ซึ่งในวันนี้เราจะนำเสนอถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม และแปลกใหม่กันก่อน เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ความสวยงาม ที่หาดูได้ยากในหลายมุมของโลกใบใหญ่ใบนี้ ได้แก่ ออโรรา, ทะเลเรืองแสง, หินเดินได้, เมฆจานบิน และรุ้งแสงจันทร์
1. ออโรรา
ภาษาไทยรู้จักกันในชื่อ “แสงเหนือ – แสงใต้” หรือ “ออโรรา (Aurora)” นั่นเอง ลักษณะจะคล้ายกับม่านบนฟ้าที่สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างรวดเร็ว มีแสงเปล่งประกายสีสวยงาม เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่หลายคนตั้งความตั้งใจว่าอยากเห็นด้วยตาของตนเองสักครั้ง สามารถพบได้ในประเทศที่ตั้งอยู่บนตำแหน่งเขตละติจูดสูง หรือก็คือขั้วโลก เป็นที่มาของชื่อ หากเกิดที่ขั้วโลกเหนือจะเลือกว่า “แสงเหนือ (Aurora borealis)” หากเกิดที่ขั้วโลกใต้ จะเรียกว่า “แสงใต้ (Aurora australis)”
การเกิดออโรรามาจากอนุภาคพลังงานของดวงอาทิตย์ขณะที่กำลังโคจร ซึ่งอนุภาคพลังงานเหล่านี้จะเข้าใกล้มายังโลกมากขึ้น จนกระทั่งผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลก และเข้าชนกับก๊าซต่าง ๆ ในชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดแสงสีต่าง ๆ ตามที่เราได้เห็นจากภาพถ่ายกัน โดยก๊าซออกซิเจนจะกลายเป็นสีเขียว หรือสีแดง, ก๊าซฮีเลียมเป็นสีชมพู หรือสีฟ้า ส่วนก๊าซไนโตรเจนจะมีสีน้ำเงิน หรือสีออกม่วง เป็นต้น มีโอกาสพบได้มากที่สุดในช่วงปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนเมษายน หรือในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์
2. ทะเลเรืองแสง
เป็นปรากฏการณ์ที่เราจะเห็นทะเลใกล้ชายฝั่งเรืองแสงในตอนกลางคืน โดยแสงจะมีสีฟ้าเป็นแนว หรือเป็นจุด ๆ คล้ายกับหลุดออกมาจากโลกของนิทาน เกิดขึ้นในหลายพื้นที่เรียกว่า “Bioluminescence” หรือ “ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ (Red tide)” นั่นเอง ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กใต้ท้องทะเล
ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ทำให้เกิดแสงมีชื่อว่า “ไดโนแฟลกเจลเลต” (Dinoflagellates)” ซึ่งเป็นสาหร่ายทะเลเซลล์เดียว ในช่วงกลางวันตัวของมันจะมีสีออกน้ำตาล จึงอาจไม่ได้เตะตามากนัก แต่ในช่วงกลางคืนตัวของมันจะเปล่งประกายแสงสีฟ้าออกมา เป็นเพราะว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้สามารถสังเคราะห์แสงได้ด้วยตนเองนั่นเอง
3. หินเดินได้
หินเดินได้ (Sailing Stones) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เคยเป็นที่ถกเถียงกันว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ท่ามกลางทะเลทรายที่หลายคนมองว่าสวยงาม การได้ถ่ายรูปก้อนหินที่มีรอยเคลื่อนไหวได้เอง คงจะทำให้ภาพถ่ายดูแปลก และสวยขึ้นอย่างแน่นอน หินเหล่านี้พบได้ในอุทยานแห่งชาติเดท วัลลี่ย์ (Death Valley National Park) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย (California) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มักเกิดขึ้นทุก 2 – 3 ปี และใช้เวลาเคลื่อนที่นานถึงประมาณ 3 – 4 ปี
สำหรับคำอธิบายว่าทำไมหินจึงสามารถเคลื่อนไหวเองได้ มีสมมุติฐานหลายอย่างแต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เช่น เกิดจากแรงลมที่พัดผ่าน แต่ต้องเป็นลมที่มีแรง และความเร็วสูงมาก หรือจะเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นน้ำแข็ง เมื่อถูกลมพัดจึงทำให้เกิดลอยขึ้นได้ แต่หลายคนก็ยังถกเถียงว่าอาจเกิดจากสิ่งมีชีวิตก็ได้เช่นกัน
4. เมฆจานบิน
เมฆจานบิน (Lenticular Cloud) ที่มักถูกเข้าใจผิดบ่อย ๆ ว่าเป็น UFO เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายวงกลมหมุนขนาดใหญ่บนท้องฟ้า แต่แท้จริงแล้วเป็นกลุ่มก้อนของก้อนเมฆที่เกิดจากชั้นอากาศ ที่ใกล้พื้นดินเกิดการสัมผัสกับภูเขา หรือแม่น้ำ จากนั้นแรงลมก็ดันขึ้นสูงขึ้น และถูกลมพัดจนกลายเป็นชั้น ๆ หมุนไปตามแรงโน้มถ่วง
กลุ่มเมฆชนิดนี้ยังมีอีกหลายชื่อตามรูปแบบที่คนได้เห็น เช่น ดอกเห็ดยักษ์ หรือหมวก (Cap Cloud) เป็นต้น นอกจากนี้เมฆประหลาดนี้ยังสามารถมีสีคล้ายสีรุ้ง ซึ่งเกิดจากไอน้ำในก้อนเมฆเกิดการหักเหกับแสงจากอาทิตย์จนเกิดเป็นสีรุ้งขึ้นมา ทำให้มันมีทั้งความแปลกใหม่ และความสวยงามในเวลาเดียวกัน
5. รุ้งแสงจันทร์
รุ้งแสงจันทร์ หรือ Moonbow เป็นการเกิดสายรุ้งที่มาจากดวงจันทร์ แตกต่างกับที่หลายคนเข้าใจว่าสายรุ้งจะเกิดจากแสงอาทิตย์ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้เราสามารถมองเห็นสายรุ้งชนิดนี้ได้ในเวลากลางคืน แต่สีของสายรุ้งอาจไม่ได้ชัดเจน และมีความสวยงามเทียบเท่ากับสายรุ้งในตอนกลางวัน เนื่องจากแสงของดวงจันทร์มีน้อยกว่าแสงอาทิตย์มาก และยังต้องพึ่งปัจจัยหลายอย่างเพื่อให้เกิด Moonbow อีกด้วย
นอกจากแสงจันทร์ที่ต้องสว่างมากแล้ว ดวงจันทร์ยังต้องอยู่ใกล้พื้นราบ, ฟ้าต้องมืดสนิทไม่มีแสงสว่าง, ละอองน้ำหรือแหล่งน้ำจะต้องอยู่ตรงข้ามกับแสงจันทร์พอดี หากมีปัจจัยเหล่านี้ครบจะมีโอกาสได้พบเจอกับ Moonbow มากขึ้น ซึ่งถือว่ามีโอกาสเจอค่อนข้างยาก เว้นแต่จะมีแหล่งน้ำที่มีละอองน้ำจากตนเอง เช่น อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความแปลก และมีความสวยงาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ความหายากในการดู หรือพบเจอ และทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้นเอง
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ระบบสุริยะ คืออะไร ? เรียนรู้เรื่องราวของดาวเคราะห์ เสริมพัฒนาการเด็ก
ห่วงโซ่อาหาร คืออะไร สำคัญกับระบบนิเวศแค่ไหน ความรู้เสริมสำหรับหนูน้อย
วิทย์ ป. 5 สไตล์สุดจะง่าย สถานะของสาร ของแข็ง ของเหลว คืออะไร
ที่มาข้อมูล : scimath ,sciplanet ,bbc ,scimath