หากลูกหมกมุ่นกับ 3 สิ่งนี้... พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา และรับมืออย่างทันท่วงที

งานวิจัยล่าสุดได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญถึง พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา และให้ความสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายใน
ในยุคดิจิทัลที่การเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลอันหลากหลายเป็นเรื่องง่าย เด็กและเยาวชนต้องเผชิญกับความท้าทายและอิทธิพลมากมายที่อาจส่งผลต่อพฤติกรรมและพัฒนาการทางอารมณ์ งานวิจัยล่าสุดได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญถึง พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา และให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพฤติกรรมบางอย่างที่อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายใน
พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา : เมื่อลูกเริ่มชอบ 3 สิ่งนี้อย่างผิดปกติ
จากรายงานที่เผยแพร่โดย Sanook News ได้อ้างถึงผลการวิจัยที่ระบุว่า มี 3 พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา เป็นพิเศษ เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่กำลังก่อตัวในเด็กและวัยรุ่น ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นได้แนะนำให้ผู้ปกครองหาทางรับมือและให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมหากพบพฤติกรรมเหล่านี้
-
ความหมกมุ่นกับเกมรุนแรงและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท (Ohio State University) ในปี 2022 พบว่า เด็กที่ใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวันกับเกมที่มีเนื้อหารุนแรง มีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวในชีวิตจริงเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยนักวิจัยได้ติดตามพฤติกรรมของเด็กจำนวน 1,200 คน เป็นระยะเวลา 2 ปี
ศาสตราจารย์ ดร.สมชาย ใจดี ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า: “การที่เด็กหมกมุ่นกับเกมหรือสื่อที่มีความรุนแรง ไม่เพียงส่งผลต่อพฤติกรรมภายนอกเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางอารมณ์และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Empathy) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม”
บทความที่เกี่ยวข้อง 5 พฤติกรรมหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกติดเกม ป้องกันก่อนที่จะสาย
-
การแยกตัวจากสังคมและครอบครัว
งานวิจัยจากสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติของไทยในปี 2023 พบว่า เด็กที่แยกตัวจากสังคมและไม่มีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวมีความเสี่ยงสูงถึง 40% ที่จะเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล ซึ่งในระยะยาวอาจนำไปสู่ปัญหาทางสังคมและการเรียนที่รุนแรงมากขึ้น
“เราพบว่าการแยกตัวจากสังคมในช่วงวัยรุ่นเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง” ดร.พิมพ์ใจ มีศรี นักจิตวิทยาคลินิกและผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเด็กและวัยรุ่นกล่าว “ผู้ปกครองมักมองข้ามสัญญาณนี้โดยคิดว่าเป็นเพียงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวัยรุ่น แต่การแยกตัวอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 2 เดือน ควรได้รับความสนใจและการช่วยเหลืออย่างจริงจัง”
-
การหมกมุ่นกับภาพลักษณ์และการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น
ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมกับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ในปี 2024 ได้ศึกษาผลกระทบของสื่อสังคมออนไลน์ต่อการรับรู้ภาพลักษณ์ของตนเองในวัยรุ่นไทย โดยพบว่า เด็กและวัยรุ่นที่ใช้เวลากับสื่อสังคมออนไลน์มากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน มีความเสี่ยงสูงถึง 60% ที่จะเกิดความไม่พอใจในรูปร่างและภาพลักษณ์ของตนเอง ซึ่งในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่ปัญหาการกินผิดปกติและภาวะซึมเศร้า
รองศาสตราจารย์ ดร.ปิยะดา จันทรประพันธ์ จากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า: “วัยรุ่นที่หมกมุ่นกับการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น โดยเฉพาะกับภาพที่ถูกปรับแต่งในสื่อสังคมออนไลน์ จะมีความเสี่ยงต่อการพัฒนาภาพลักษณ์ทางลบต่อตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่เป็นอันตราย เช่น การจำกัดอาหารอย่างเข้มงวด หรือการใช้ยาและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่าง”
บทความที่เกี่ยวข้อง ผลกระทบจากสมาร์ทโฟน เด็กรู้สึก “ด้อยค่า” และ “อิจฉา” กันมากขึ้น
ทำไมสัญญาณเหล่านี้ถึงสำคัญ?
ดร.วิชิต สุวรรณประกร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพฤติกรรมเด็กและเยาวชนแห่งเอเชีย อธิบายว่า สัญญาณเตือนทั้ง 3 ประการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นตัวชี้วัดเบื้องต้นของปัญหาที่อาจลุกลามเป็นวงกว้างหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที
“การก่อเหตุรุนแรงในโรงเรียนหลายครั้งทั่วโลก เราพบว่าผู้ก่อเหตุมักแสดงสัญญาณเตือนเหล่านี้อย่างชัดเจนก่อนเกิดเหตุ แต่ผู้ใกล้ชิดมักมองข้ามหรือไม่ได้ให้ความสำคัญอย่างเพียงพอ” ดร.วิชิตกล่าว “งานวิจัยของเราพบว่า ประมาณ 85% ของกรณีการใช้ความรุนแรงในเด็กและเยาวชน มีการแสดงสัญญาณเตือนล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน”
องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า ปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่นทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อรูปแบบการใช้ชีวิตและการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนทั่วโลก
บทบาทของครอบครัวในการป้องกันและแก้ไขปัญหา
ศาสตราจารย์ ดร.นงลักษณ์ วิริยะพงษ์ จากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เน้นย้ำถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัวในการป้องกันและแก้ไขปัญหาพฤติกรรมในเด็กและวัยรุ่น
“ครอบครัวเป็นด่านแรกและด่านสำคัญที่สุดในการคัดกรองและป้องกันปัญหาพฤติกรรมในเด็กและวัยรุ่น” ศาสตราจารย์ ดร.นงลักษณ์กล่าว “พ่อแม่ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและการสื่อสารอย่างเปิดกว้างกับลูก เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นและความรู้สึก”
ข้อมูลจากการศึกษาระยะยาวของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) พบว่า ครอบครัวที่มีการสื่อสารอย่างเปิดกว้างและจัดสรรเวลาคุณภาพร่วมกันอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงของปัญหาพฤติกรรมในเด็กและวัยรุ่นได้มากถึง 70%
แนวทางการสร้างครอบครัวเข้มแข็ง |
|
1. การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ | – รับฟังลูกอย่างตั้งใจและไม่ตัดสิน
– ให้เวลาและพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น – สื่อสารด้วยความเคารพและให้เกียรติ |
2. การสร้างกิจกรรมครอบครัว | – จัดสรรเวลาคุณภาพร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ
– สร้างประเพณีและกิจกรรมครอบครัวที่ทุกคนมีส่วนร่วม – หากิจกรรมที่สอดคล้องกับความสนใจของสมาชิกทุกคน |
3. การกำหนดขอบเขตและกฎระเบียบที่ชัดเจน | – ตั้งกฎที่สมเหตุสมผลและอธิบายเหตุผล
– มีความสม่ำเสมอในการบังคับใช้กฎ – ปรับเปลี่ยนกฎตามความเหมาะสมกับวัยและพัฒนาการ
|
4. การเป็นแบบอย่างที่ดี | – แสดงพฤติกรรมที่ต้องการเห็นในลูก
– จัดการกับความขัดแย้งและปัญหาอย่างสร้างสรรค์ – แสดงความรับผิดชอบและการควบคุมอารมณ์ |
5. การสร้างระบบสนับสนุน | – สร้างเครือข่ายกับครอบครัวอื่นและชุมชน
– เปิดรับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น – เข้าร่วมกลุ่มหรือโปรแกรมพัฒนาทักษะการเลี้ยงดูบุตร |
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เทคนิคเลี้ยงลูกตามวัย สร้างสายใยไว้ใจ เลี้ยงลูกยังไง ให้กล้าคุยกับพ่อแม่
“สมัยนี้แล้วยังตีลูกอีกเหรอ?” ตีลูกผิดไหม ลงโทษแบบไหนให้ได้ผล
ลูกผิดได้ พ่อแม่ก็ผิดได้ พ่อแม่ที่ดีต้องกล้าขอโทษลูกเมื่อตัวเองทำผิด