TAP top app download banner
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้า
เข้าสู่ระบบ
  • TAP Awards 2025
  • อยากท้อง
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • โภชนาการ เเม่ท้อง เเม่ให้นม
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • ตั้งชื่อลูก
  • แม่ผ่าคลอด
    • พัฒนาการเด็กผ่าคลอด
    • เตรียมตัวผ่าคลอด
    • สุขภาพเด็กผ่าคลอด
    • คู่มือคุณแม่ผ่าคลอด
    • การดูแลหลังผ่าคลอด
    • โภชนาการเด็กผ่าคลอด
  • หลังคลอด
    • คลอดธรรมชาติ
    • ผ่าคลอด
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
    • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
    • TAPpedia
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • ไลฟ์สไตล์
    • ที่เที่ยว
    • ที่กิน
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • VIP

10 เรื่องของสมอง ทำไมช่วงปฐมวัยถึงสำคัญที่สุด

บทความ 5 นาที
10 เรื่องของสมอง ทำไมช่วงปฐมวัยถึงสำคัญที่สุด

ช่วงที่สมองของคนเราพัฒนาได้เยอะที่สุดและไวที่สุด คือตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ขวบ สมองลูกพัฒนาได้ไวและเยอะขนาดไหน ? จริงไหมที่ช่วงนี้สำคัญที่สุดแล้วในชีวิต ?

การวัดความฉลาดของผู้ใหญ่คือการวัดไอคิว แต่สำหรับเด็กๆ แน่นอนว่าเราไม่รู้หรอกค่ะว่าลูกฉลาดแค่ไหน แต่สมองของเด็กๆ ในช่วง 3 ปีแรก พัฒนาเร็วมากๆ และมีศักยภาพมากที่สุดแล้ว เนื่องจากสมองพัฒนาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของคุณแม่แล้ว

เมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์เพียง 4 สัปดาห์ สมองของลูกจะสร้างเซลล์ประสาทใหม่ขึ้นมา 250,000 เซลล์ในทุกๆ นาที ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลาถึง 3 ปี บวกกับอีกเกือบ 9 เดือนที่อยู่ในท้องของคุณแม่ ในเด็กที่อายุ 3 ขวบนั้น สมองจะพัฒนาเป็น 80% และมีจำนวนเซลล์ประสาทที่มากถึง 1000 ล้านล้านเซลล์ที่เชื่อมต่อถึงกันเลยนะคะ และนี่ก็คือเรื่องน่าทึ่งทั้ง 10 เรื่อง เกี่ยวกับสมองของลูก

1.เด็กทุกคนเกิดมาเร็วไป

มีทฤษฎีหนึ่งที่อธิบายว่า 3 เดือนแรกที่ลูกลืมตาออกมาดูโลก เทียบเท่ากับไตรมาสที่ 4 เพราะเด็กทารกแรกเกิดยังชอบให้พันตัวเหมือนตอนที่ยังอยู่ในถุงน้ำคร่ำ และตอบสนองกับเสียงต่างๆ เหมือนกับตอนที่ยังอยู่ในท้องคุณแม่ แต่ก็มีอีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมและมีวัฒนธรรม การที่เด็กๆ จะต้องคลอดออกมาก่อน เพื่อให้เด็กๆ ชินกับการเลี้ยงลูกจากคนในครอบครัวที่มีหลากหลายคน

แม้เด็กๆ จะถือว่าคลอดออกมาเร็วไปก็ตาม แต่ด้วยสรีระแล้ว สมองและกะโหลกของเด็กๆ ก็เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์มาก เนื่องจากขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ แต่สามารถยืดหยุ่นได้ดีเมื่อต้องคลอดผ่านอุ้งเชิงกรานของคุณแม่ นั่นก็หมายความว่าสมองของเด็กๆ ยังไม่ได้พัฒนาเต็มที่ หรือจะเรียกได้ว่าทารกแรกเกิดนั้นเกิดมาพร้อมกับสมองที่ยังไม่พัฒนาและอ่อนไหวต่อสิ่งเร้าทั้งหลายนั่นเองค่ะ

ลูกในท้องนอนกี่ชั่วโมง

2.เด็กเกิดมาพร้อมกับเซลล์ประสาทใหม่

เด็กที่ไม่มีอาการผิดปกติทางสมอง จะคลอดออกมาพร้อมกับเซลล์ประสาทจำนวน 100 พันล้านเซลล์ มากกว่าเกือบ 2 เท่าของผู้ใหญ่ ทั้งที่มีขนาดสมองเล็กกว่าครึ่ง เซลล์ประสาทจำนวนมหาศาลนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมากต่อการเรียนรู้ในช่วงขวบปีแรกของเด็กๆ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตอนที่เด็กๆ มีอายุ 3 ขวบ แต่เมื่ออายุมากขึ้นเซลล์ประสาทที่แข็งแรงเท่านั้นที่จะยังคงอยู่ ส่วนเซลล์ประสาทที่อ่อนแอก็จะแทนที่ด้วยสารสื่อนำประสาทแทน

3.สมองจะพัฒนาเร็วที่สุด ในช่วงระหว่างแรกเกิดถึง 3 ขวบ

สมองคืออวัยวะที่เติบโตเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย สมองของเด็กแรกเกิดจะมีขนาดเล็กกว่าสมองของผู้ใหญ่ถึง 1 ใน 3 และใน 90 วัน สมองจะโตขึ้นเป็น 2 เท่า หรือประมาณ 55% ของขนาดที่โตเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมองส่วนท้าย (cerebellum) ที่ควบคุมในเรื่องของการเคลื่อนไหว จะเติบโตมากที่สุด ในระยะเวลาเพียง 3 เดือน สมองส่วนนี้จะโตถึง 110% ของขนาดตอนแรกเกิด

4.พลังงานส่วนใหญ่ที่เด็กๆ เอาไปพัฒนาสมอง

60% ของการเผาผลาญพลังงานทั้งหมด (ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการบริโภคกลูโคส) ของเด็กๆ จะนำไปพัฒนาสมอง เมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ที่ใช้พลังงานเพียง 25% เท่านั้นค่ะ

5.สมองของเด็กๆ เตรียมพร้อมที่จะพูดก่อนที่จะรู้คำศัพท์ด้วยซ้ำ

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันที่ทำการเก็บข้อมูลจากเด็กอายุ 7 เดือน พบว่ามีการทำงานของสมองในส่วนของการพูด ก่อนที่เด็กๆ จะพูดได้เสียอีกค่ะ ซึ่งหลักฐานนี้แสดงให้เห็นว่าสมองมีการทำงานในขั้นที่เรียกว่า การวิเคราะห์โดยการสังเคราะห์ โดยสมองจะเก็บข้อมูลและคาดการณ์การเคลื่อนไหวในการพูดเสียงต่างๆ คำต่างๆ ในการพูด และเตรียมพร้อมเมื่อถึงคราวที่จะต้องพูดจริงๆ

พัฒนาสมองลูก

6.เด็กสองภาษามีการทำงานของสมองด้านจัดการที่ดีกว่า (EF)

เด็กๆ สามารถเรียนรู้ภาษาต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีศักยภาพ แต่เด็กที่ถูกเลี้ยงตั้งแต่ 2 ภาษาขึ้นไปนั้น จะมีทักษะการทำงานของสมองด้านจัดการที่ดีกว่าเมื่อโตขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของสมาธิเพื่อแก้ปัญหาที่ขัดแย้ง หรือพูดได้ว่าเด็กสองภาษาจะมีสมาธิดีกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่ากว่าในการเรียนและการทำงาน

7.การสัมผัสช่วยเสริมสร้างสารสื่อนำประสาท

เด็กทารกที่ได้รับการสัมผัสทางกายเป็นประจำ เช่น การอุ้มหรือการกอด จะมีสารสื่อนำประสาทระหว่างเซลล์ประสาทที่แข็งแรงมากขึ้นและดีขึ้น กลับกันเด็กที่ไม่ค่อยได้รับการสัมผัสจะส่งผลเสียแก่ร่างกาย ตั้งแต่ในเรื่องของน้ำหนักที่ไม่ค่อยขึ้น จนกลายเป็นตกเกณฑ์ ไปจนถึงในเรื่องของความบกพร่องทางด้านอารมณ์ เช่น มีความวิตกกังวลและเป็นโรคซึมเศร้าได้

งานวิจัยจากเด็กจำนวน 92 คน อายุตั้งแต่ 7-9 ปี พบว่า เด็กที่ถูกเลี้ยงจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองจะมี ฮิปโพแคมพัส (Hippocampus) ซึ่งเป็นสมองในที่ทำหน้าที่ในด้านความจำและทิศทาง ที่หนากว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงมาแบบไม่ใกล้ชิดไม่ได้รับการสัมผัส สมองส่วนฮิปโพแคมพัสยิ่งหนา ยิ่งทำให้ความจำดี มีสมาธิ เรียนรู้ได้ดีค่ะ

8.สมองเด็กจดจำกลิ่นคุณแม่ได้

กลิ่นของคุณแม่และการสัมผัสเป็นตัวกำหนดว่า สายสัมพันธ์ระหว่างคุณแม่และลูกเป็นยังไง และจะเกี่ยวกับฮอร์โมนออกซิโทซิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนในเรื่องของความรู้สึกภูมิใจและความรักค่ะ มีงานวิจัยว่าเด็กทารกแรกเกิดจะถูกดึงดูดจากลิ่นน้ำคร่ำของคุณแม่ ซึ่งมีผลให้เด็กสามารถหาหัวนมคุณแม่เจอได้นั่นเอง เด็กที่โตไวจะชอบกลิ่นของเต้านมคุณแม่ยังไงละคะ

ลูกกัดหัวนม นมแม่

9.เด็กติดพ่อติดแม่ดีเเล้ว

คุณแม่อาจจะเคยกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ลูกติดคุณแม่ ไม่ยอมห่าง กว่าจะแงะตัวออกไปไหนมาไหนได้เป็นเรื่องอยาก อาจจะดีใจนะคะ เนื่องจากเด็กๆ ที่ติดคุณแม่นั้น หมายความว่าลูกมีพัฒนาการด้านความทรงจำระยะยาวแล้วละค่ะ

เจอโรม เคเกน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแนะนำว่า ประมาณเดือนที่ 9 เด็กๆ จะไม่อยากจากคุณพ่อคุณแม่ไปไหน หรือเรียกง่ายๆ ว่ายึดติดกับคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งการพัฒนาในเรื่องนี้ จะส่งทางด้านอารมณ์ของเด็กๆ ต่อเหตุการณ์ต่างๆ ต่อไปค่ะ

10.สภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติช่วยปกป้องสมองของเด็กๆ

งานวิจัยเด็กทารกแรกเกิดที่ต้องรักษาตัวจากโรคสมองขาดออกซิเจนและเลือดไปเลี้ยง (hypoxic-ischemic encephalopathy) จากโรงพยาบาลเด็กลอสแองเจลิส พบว่าเมื่อสมองขาดออกซิเจน ร่างกายจะลดอุณหภูมิลงเพื่อป้องกันเซลล์ประสาทเสียหาย หากไม่ได้รับการรักษา สมองของเด็กๆ อาจจะพิการ หรือมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ค่ะ

ที่มา mentalfloss

 

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

บทความจากพันธมิตร
เคล็ดลับคุณแม่ อาหารเสริมเด็ก เลือกย่างไรให้ลูกเรียนรู้ดี มีพัฒนาการสมวัย
เคล็ดลับคุณแม่ อาหารเสริมเด็ก เลือกย่างไรให้ลูกเรียนรู้ดี มีพัฒนาการสมวัย
แดดแรงแค่ไหนก็ไม่กลัว! ตัวช่วยสุดปังที่แม่เลือก กันแดดเด็ก Godmami Kids ปกป้องผิวลูกน้อยจากแดดร้าย
แดดแรงแค่ไหนก็ไม่กลัว! ตัวช่วยสุดปังที่แม่เลือก กันแดดเด็ก Godmami Kids ปกป้องผิวลูกน้อยจากแดดร้าย
อยากให้ลูกเป็น เด็กฉลาด จิตใจดี เสริมพลังสมองและภูมิคุ้มกัน ด้วย 2 องค์ประกอบทางโภชนาการ DHA และ Probiotic LPR
อยากให้ลูกเป็น เด็กฉลาด จิตใจดี เสริมพลังสมองและภูมิคุ้มกัน ด้วย 2 องค์ประกอบทางโภชนาการ DHA และ Probiotic LPR
เทียบชัดๆ นมสูตร 3 ที่มี PHP ช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการภูมิแพ้ ยี่ห้อไหนถูกใจแม่ยุคใหม่ที่สุด
เทียบชัดๆ นมสูตร 3 ที่มี PHP ช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการภูมิแพ้ ยี่ห้อไหนถูกใจแม่ยุคใหม่ที่สุด

5 วิธีพัฒนาสมองลูกรัก ตั้งแต่อยู่ในครรภ์

พัฒนาการของสมองลูกน้อยในครรภ์

parenttown

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

สิยาพัฐ บุญช่วย

  • หน้าแรก
  • /
  • พัฒนาการลูก
  • /
  • 10 เรื่องของสมอง ทำไมช่วงปฐมวัยถึงสำคัญที่สุด
แชร์ :
  • ลูกเล่นไม่ยอมเลิก แก้ยังไงให้ได้ผล? ตามหลักจิตวิทยา แบบไม่ต้องบังคับ

    ลูกเล่นไม่ยอมเลิก แก้ยังไงให้ได้ผล? ตามหลักจิตวิทยา แบบไม่ต้องบังคับ

  • เลี้ยงลูกสองภาษาไม่ยาก! แจกคัมภีร์ 100 ประโยคคุยกับลูก ภาษาอังกฤษ ใช้ได้ทุกวัน

    เลี้ยงลูกสองภาษาไม่ยาก! แจกคัมภีร์ 100 ประโยคคุยกับลูก ภาษาอังกฤษ ใช้ได้ทุกวัน

  • ทารกบิดตัวบ่อย ปกติไหม? 5 วิธีแก้อาการลูกบิดตัว ทำเองได้ที่บ้าน

    ทารกบิดตัวบ่อย ปกติไหม? 5 วิธีแก้อาการลูกบิดตัว ทำเองได้ที่บ้าน

  • ลูกเล่นไม่ยอมเลิก แก้ยังไงให้ได้ผล? ตามหลักจิตวิทยา แบบไม่ต้องบังคับ

    ลูกเล่นไม่ยอมเลิก แก้ยังไงให้ได้ผล? ตามหลักจิตวิทยา แบบไม่ต้องบังคับ

  • เลี้ยงลูกสองภาษาไม่ยาก! แจกคัมภีร์ 100 ประโยคคุยกับลูก ภาษาอังกฤษ ใช้ได้ทุกวัน

    เลี้ยงลูกสองภาษาไม่ยาก! แจกคัมภีร์ 100 ประโยคคุยกับลูก ภาษาอังกฤษ ใช้ได้ทุกวัน

  • ทารกบิดตัวบ่อย ปกติไหม? 5 วิธีแก้อาการลูกบิดตัว ทำเองได้ที่บ้าน

    ทารกบิดตัวบ่อย ปกติไหม? 5 วิธีแก้อาการลูกบิดตัว ทำเองได้ที่บ้าน

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • พัฒนาการลูก
  • ชีวิตครอบครัว
  • ระยะการตั้งครรภ์
  • โภชนาการ
  • ไลฟ์สไตล์
  • TAP สังคมออนไลน์
  • ติดต่อโฆษณา
  • ติดต่อเรา
  • Influencer Marketing (KOL)
  • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Vietnam flag Vietnam
© Copyright theAsianparent 2025. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว