“หาโรงเรียนยากนัก แม่สอนเองก็ได้ ” บทสัมภาษณ์พิเศษวันแม่ ทำHomeschool
ทำ Homeschoolแน่นอนว่า เมื่อลูกน้อยถึงวัยเรียน คุณพ่อคุณแม่หลายท่านกำลังหาโรงเรียนใหม่สำหรับลูกกันจ้าละหวั่น ลูกจะเรียนโรงเรียนไหนดีนะ สังคม สิ่งแวดล้อมจะดีไหม คุณครูจะสอนโอเคไหม หรือ ลูกจะสามารถปรับตัวกับเพื่อนๆได้ไหม ในฐานะผู้ปกครองอย่างเรา ก็คงกังวลไปหลายสิ่ง ทีม TheAsianparent ได้สัมภาษณ์คุณแม่เอ๋ที่สร้างทางเลือกทางการเรียนใหม่ให้ลูก นั่นก็คือ การ ทำHomeschool (บ้านเรียน) นั่นเอง คุุณพ่อคุณแม่คนไหน กำลังหาตัดสินใจ หรือ กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำHomeschool มาติดตามประสบการณ์การทำHomeschool ที่น่าสนใจของคุณแม่เอ๋ ไปพร้อมๆกันค่ะ
เหตุผลที่อยาก ทำHomeschool ให้ลูก
แม่เอ๋เล่าว่า สาเหตุแรกที่คิดริเริ่มที่จะทำ เพราะว่าที่บ้านไม่มีใครช่วยเลี้ยงดูน้องเลย แม่เอ๋เลยจำเป็นที่จะต้องลาออกจากงานมาเพื่อเลี้ยงดูน้องโดยเฉพาะ คุณพ่อของน้อง จึงเสนอว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมเราจึงไม่ทำ “บ้านเรียน” ให้ลูก
ส่วนอีกหนึ่งสาเหตุที่ไม่อยากให้ลูกเข้าโรงเรียน เพราะว่า ” แม่อยากให้เขาใช้ชีวิต เป็นตัวของตัวเอง อยากให้เขามีความสุขในการเรียนรู้ แบบไม่จบสิ้น อยากให้เขาหาตัวเองให้เจอ แล้วไปจนสุดทาง ” แม่เอ๋ให้เหตุผลอย่างน่าสนใจ
เริ่มหาข้อมูลจากที่ไหน ?
เรียนวงจรชีวิตของผึ้ง
ขั้นตอนแรก แม่เอ๋ลองซื้อหนังสือมาอ่าน มาศึกษาก่อน แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่าน่าจะไม่เวิร์ค หลังจากนั้นเลยลองหา ตามเพจ Facebook เช่น Homeschool Network สมาคมบ้านเรียน เครือข่ายภาคี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นองค์กรหลักในประเทศไทย และ ยังค้นพบว่าการทำบ้านเรียนนั้นมีมานานกว่า 20 ปีแล้ว !!
นอกจากนี้ เครือข่ายภาคีบ้านเรียน ยังจัดกิจกรรมให้คุณพ่อคุณแม่มาเจอกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำบ้านเรียน อัพเดทพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กๆ และ โชว์ผลงานต่างๆของลูก หรือ สำหรับครอบครัวไหนที่กำลังหาข้อมูล ก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวนี้ได้ แม่เอ๋เสริมว่า ยังมีกลุ่ม Facebook พ่อแม่บ้านเรียนตามจังหวัดต่างๆ แล้วก็มานัดเจอกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นการทำกิจกรรม การเรียนการสอนให้ลูก ดังนั้น คุณไม่ต้องกังวลเลยค่ะ ว่าไม่รู้จะต้องเริ่มยังไง จะมีคนให้คำปรึกษาไหม ในกลุ่มยังมีอีกหลายครอบครัวที่ทำ Homeschool พร้อมที่จะให้คำแนะนำค่ะ
วางแผนการเรียนการสอนอย่างไร ?
การเรียนแบบ Homeschool เป็นการเรียนแบบไม่สิ้นสุด และ ไม่จบสิ้น เพราะฉะนั้น การจะไม่เหมือนกับ เด็กในระบบที่เรียนตั้งแต่ 9 โมงเช้าและเลิกเรียนตอนบ่าย 3 การเรียนของระบบนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่เด็กลืมตา จนเด็กเข้านอน ดังนั้น มีระบบการจัดการอย่างไรล่ะ แล้ว มีระบบอะไรรองรับไหมนะ หลายท่านคงกำลังสงสัยแบบนี้ใช่ไหมคะ แม่เอ๋มีคำตอบค่ะ !
เรียนเกี่ยวกับรูปทรง
แม่เอ๋แชร์กับเราว่า เธอเลือกที่จะขึ้นทะเบียนกับเขตการศึกษา โดยขออนุญาติทำบ้านเรียนซึ่งถูกต้องตามกฎหมาย เสมือนว่า นี่คือหนึ่งโรงเรียน แต่ ในโรงเรียนนั้นมีน้องเอแคลร์ ( ลูกสาวของพี่เอ๋ ) เป็นนักเรียนเพียงคนเดียว และ จดได้เมื่อน้องอายุ 3 ขวบ ( เทียบเท่าอนุบาล 1 ) หลังจากนั้น เธอต้องเขียนแผนการศึกษาระดับอนุบาลยาวไปถึง 3 ปีล่วงหน้า ซึ่งหมายความว่าอนุบาล 1 – 3 โดยแผนการศึกษานี้ต้องเขียนล้อไปกับกฏหมาย ในระดับอนุบาล จะเน้นเพียง 4 ด้าน ประกอบไปด้วย ร่างกาย (อาทิเช่น กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ ) อารมณ์ สังคม และ การสื่อสาร นอกเหนือจากแผนการสอนขั้นพื้นฐาน แม่เอ๋ยังสอนการอ่าน การเขียน การบอกเลขเบื้องต้น ให้ลูกอีกด้วย ดังนั้นส่วนใหญ่ เด็กบ้านเรียน จะสามารถเขียนได้ อ่านได้ บวกเลขได้ และสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ สอนเกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นในชีวิตประจำวันให้น้อง เพื่อที่จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เช่น อาบน้ำ แปรงฟัง ล้างหน้า ขับถ่าย เป็นต้น
มาตรฐานวัดการเรียนการสอน ดูจากอะไร ?
การวัดผลจะวัดมาจากผู้สอน ( แม่เด็ก) 70 % และ อีก 30 % จากเจ้าหน้าที่ภาครัฐ โดยใน 1 ปีจะทำการประเมินการเรียนการสอนจำนวน 1 ครั้ง เพราะฉะนั้น แม่เอ๋ต้องประเมินไปก่อนตามเกณฑ์ว่า น้องนั้นผ่านตามเกณฑ์ที่ทางเขตการศึกษากำหนดหรือเปล่า โดยเขาก็จะมีเอกสารมาให้เช็ค และเมื่อถึงครบกำหนด 1 ปีก็ไปพบกับเจ้าหน้าที่ พร้อมกับผลงานที่น้องทำในหนึ่งปีที่ผ่านมา โดยจะมีคณะกรรมการทั้งหมด 5 คน เช็คว่าน้องนั้นผ่านตามเกณฑ์ไหม
เจออุปสรรคไหม ?
ทบทวนเรื่อง word family
สำหรับแม่เอ๋นั้น อุปสรรคแรกที่เจอเลย คือ ไม่รู้ว่าจะเขียนแผนการสอนอย่างไร เพราะไม่มีคนแนะนำเลย ไม่มีแบบแผนอะไรเป็นตัวอย่าง ให้สามารถอ้างอิงได้เลย ดังนั้น การเขียนแผนในช่วงแรกจะงงว่า เนื่องจากไม่รู้ว่าแบบไหนถูก แบบไหนผิด แบบไหนคือสิ่งที่เขตการศึกษาต้องการ
อีกสาเหตุหนึ่ง ความเข้าใจและความต้องการของพ่อแม่บ้านเรียน กับ ความเข้าใจและความต้องการของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ไม่สอดคล้องกัน เพราะว่า เจ้าหน้าที่ต้องการทำให้แผนการเรียนที่เราเขียนไป เหมือนกับระบบการศึกษาโรงเรียน ซึ่งยากที่เป็นไปได้ แต่ด้วยความช่วยเหลือของ ภาคีบ้านเรียน คอยแนะนำ และไกด์การเขียนแบบฟอร์มต่างๆซึ่งเขาทำกันมายาวนานว่า 20 ปี ทำให้สามารถผ่านอุปสรรคตรงนี้ไปได้
ข้อดีของการ ทำHomeschool ที่สะท้อนมาจากลูก
น้องเอแคลร์ สดใส ร่าเริง กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าพูด และที่สำคัญ น้องมีอิสระทางความคิด เพราะว่า แม่เอ๋ ไม่ได้ตีกรอบ และ ไม่ได้เดินตาม หรือ ทำตามเหมือนคนอื่น เมื่ออยู่ในโรงเรียน
สุดท้ายนี้ทีม TheAsianparent Thailand ขอขอบพระคุณคุณแม่เอ๋ ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การทำHomeschool เราค่ะ
The Asianparent Thailand เว็บไซต์ข้อมูลคุณภาพและสังคมคุณแม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและเอเชีย เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ แหล่งความรู้แม่และเด็ก รวมถึงแอพพลิเคชั่น The Asianparent ที่ติดตามการตั้งครรภ์ให้คุณแม่ได้ลงทะเบียนใช้งานฟรี เพื่อติดตามพัฒนาการทารกตั้งแต่ตั้งครรภ์ จนถึงติดตามหลังคลอดที่ครอบคลุมที่สุดและผู้ใช้งานสูงสุดในประเทศไทย นอกจากความรู้ยังมีไลฟ์สไตล์และสื่อมัลติมีเดียหลากหลาย ไม่ว่าสุขภาพแม่และเด็ก โภชนาการแม่และเด็ก กิจกรรมสำหรับครอบครัว
การวางแผนครอบครัวไปจนถึง การดูแลลูก การศึกษา และจิตวิทยาเด็ก The Asianparent เราพร้อมสนับสนุนพ่อแม่ทุกท่าน ให้มีความรู้และมีสุขภาพกายใจเข้มแข็ง เพื่อเสริมสร้างครอบครัวอย่างแข็งแรง
เพราะเราเชื่อว่า “พ่อแม่เข้มแข็ง ครอบครัวแข็งแรง”
Source : homeschool
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ
ทำอย่างไรเมื่อลูกเป็น LD
ผลที่ได้ เมื่อพาลูกออกจากโรงเรียนไปเรียนโฮมสคูล…
16 กิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการเด็กเล็ก เกมสำหรับเด็กที่พ่อทำเองได้ ไม่ต้องเสียเงิน
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!