คุณแม่เล่าว่า ในขณะที่ท้องได้ 23 สัปดาห์ คุณแม่ก็ไปพบกับคุณหมอตามนัด โดยคุณหมอบอกว่า คุณแม่ได้น้องผู้หญิง คุณแม่รู้สึกดีใจมาก แต่เอะใจตรงที่ คุณหมอซาวด์ดูที่สมองของน้องนานมาก สักพักหมอก็บอกว่า น้องมีน้ำในสมอง 11.8 มิลลิลิตร คุณหมอจึงเขียนใบส่งตัวให้คุณแม่ไปยื่นรักษาต่อยังโรงพยาบาลประจำจังหวัด
เมื่อไปถึงคุณหมอที่โรงพยาบาลก็ได้ตรวจเช็คอีกรอบว่า ทารกในครรภ์นั้นมีน้ำในสมองจริงหรือไม่ ผลคือจริงตามที่คุณหมอท่านแรกบอก เลยทำใบส่งตัวให้ไปโรงพยาบาล มอ. หาดใหญ่ พอไปถึงโรงพยาบาล คุณหมอก็ให้ซาวด์อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ เป็นการทำอัลตราซาวด์แบบสี่มิติ พบว่าน้องมีน้ำในสมอง 13 มิลลิลิตรในช่องสมองและบริเวณกระดูกสันหลังข้อสุดท้าย (บริเวณก้น) และขาของน้องผิดรูป
คุณหมอบอกว่า น้องอาจมีปัญหาที่ระบบขับถ่ายและการเดิน เพราะถุงน้ำที่ก้นไปดึงเส้นประสาทลงไปด้วย ซึ่งขณะนั้นน้องน้ำหนักได้ 504 กรัม เริ่มที่จะดิ้นแล้ว คุณหมอจึงเฝ้านัดดูอาการของน้อง โดยคุณหมอเฉพาะทาง จะทำการอัลตร้าซาวด์เพื่อวัดขนาดศีรษะ ขนาดถุงน้ำที่ก้น ขนาดเนื้อสมองที่เหลือในทุก ๆ เดือนจนกว่าจะผ่าตัด และจะนัดตรวจคลื่นหัวใจของน้องทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อจะได้ดูว่าน้องยังแข็งแรงดีหรือไม่
24 สิงหาคม 2559 คุณหมอได้นัดผ่าคลอด ก่อนผ่าพบว่า น้องมีน้ำในสมอง 27 มิลลิลิตร สายสะดือพันคอสองรอบ คุณหมอพยายามดึงน้องออกมาเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมออก สะบัดขาหลุดจากมือของคุณหมอ พอคุณหมอสามารถนำตัวน้องออกมาได้ น้องก็ไม่ร้อง คุณหมอจึงกระตุ้นน้องด้วยการตี ไม่นานน้องก็ร้องเสียงดังมาก น้ำหนักแรกคลอดคือ 3,020 กรัม หลังจากที่น้องคลอด คุณหมอก็เตรียมพาน้องไปผ่าตัดปิดกระดูกสันหลังในวันรุ่งขึ้นเลย เนื่องจากในถุงน้ำนั้นมีเส้นประสาทของกระดูกสันหลังอยู่ คุณหมอเลยต้องเอาเส้นประสาทนั้นใส่เข้าไปในตัวของน้องเหมือนเดิม แล้วเย็บปิดแผลโดยดึงเนื้อข้าง ๆ มาปิด โดยสาเหตุที่คุณหมอต้องทำการผ่าตัดเลยนั้น เป็นเพราะถ้าหากผ่าช้าเกินไป เด็กจะเสียชีวิตภายในสามวัน
25 สิงหาคม 2559 น้องเข้าห้องผ่าตัด น้องเข้าห้องผ่าตัดเวลา 09.28 น. และออกจากห้องประมาณเวลา 13.48 น. คุณหมอได้พาตัวน้องไปอยู่ในห้อง NICU เหมือนตอนแรกคลอดใหม่ ๆ อาการของน้องคงที่ กินนมแม่ได้ แข็งแรงทุกอย่าง แต่คุณหมอจะพยายามให้น้องนอนหลับเสียมากกว่า เพราะเวลาตื่นน้องจะร้องเพราะความเจ็บปวด ผ่านมาสองสามวัน อาการยังคงที่ น้องยังคงต้องใส่ออกซิเจนอยู่ เพราะออกซิเจนในเลือดต่ำ
29 สิงหาคม 2559 พยาบาลโทรมาบอกให้คุณแม่เข้าไปคุยกับคุณหมอ พร้อมเซ็นเอกสาร โดยคุณหมอมีแผนที่จะผ่าตัดใส่สายระบายน้ำในสมองของน้องในวันรุ่งขึ้น
30 สิงหาคม 2559 คุณแม่ไปถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ตีห้า โดยคุณหมอเรียกเข้าไปพบตอนประมาณเจ็ดโมงกว่า ๆ และให้มาดูแผลที่ก้นของน้อง คุณหมอถามว่า รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าลูกเป็นแบบนี้ คุณแม่จึงตอบไปว่า รู้ตั้งแต่อยู่ในท้องตอนตั้งครรภ์ได้ 23 สัปดาห์แล้ว คุณหมอจึงบอกว่า น้องมีปัญหาระบบประสาทเสียส่วนใหญ่ จากการที่คุณหมอได้ทำการผ่าตัดปิดรูรั่วตรงกระดูกสันหลัง ถ้าน้ำในโพรงสมองมากเกินไป แผลที่กระดูกสันหลังจะเริ่มนูนและบวม แต่ตอนนี้ยังบวมไม่เยอะ เลยจะยังไม่ผ่า แต่ต้องขอดูอาการน้องเป็นวัน ๆ ไป วันไหนที่นูนกว่านี้ก็จะทำการผ่าเลย
31 สิงหาคม 2559 คุณแม่มาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า พยาบาลแจ้งว่า คุณหมอจะทำการผ่าตัดน้องในวันนี้ พอได้ฟังแค่นั้นหัวใจของแม่เหมือนจะขาด รู้สึกสงสารลูกจับใจ และทุก ๆ วัน คุณแม่จะพูดให้กำลังใจกับลูกอยู่เสมอ และในวันนั้น เหมือนลูกจะรับรู้ได้ ก็เอามือมาจับนิ้วของคุณแม่และบีบแน่นจนหลับไป คุณแม่จึงบอกกับลูกว่า “อดทนนะลูก หนูไม่ต้องกลัวนะ แม่จะไม่ทิ้งหนูไปไหม ไม่ว่าหนูจะเป็นอย่างไร แม่จะขอดูแลหนูเอง ตอนนี้อดทนนะลูก แล้วเราจะกลับบ้านไปพร้อม ๆ กัน” หลังจากที่น้องผ่าตัดเสร็จ ก็ออกมาจากห้องแล้วเข้าพักรักษาตัวอยู่ในห้อง NICU ต่อ น้องสู้มาก ๆ ไม่นานก็สามารถถอดเครื่องช่วยหายใจ และสามารถหายใจได้เอง ซึ่งในระหว่างนี้ หากน้องไม่มีภาวะติดเชื้อก็จะสามารถกลับบ้านได้
ไม่นานคุณหมอก็ทำการตัดไหมที่ศีรษะ หลังและท้อง พร้อมทั้งอนุญาตให้น้องกลับบ้านได้ในที่สุด ซึ่งคุณหมอกล่าวว่า ขาของน้องนั้นผิดรูปและข้อเท้าบิด ไม่สามารถยืดขาได้สุด ทำให้ไม่สามารถเดินได้ คุณหมอยังไม่สามารถทำการรักษาขาให้น้องได้ในขณะนี้ เนื่องจากยังไม่ถึงวัย จึงแนะนำให้รักษาด้วยการนวด การกายภาพไปก่อน ซึ่งน้องจะสามารถเดินได้ขนาดไหนนั้น ขึ้นอยู่กับตัวของน้องเองว่า จะตอบสนองต่อการรักษามากแค่ไหน และต่อให้เดินได้ น้องก็จะไม่มีโอกาสกลับไป 100 เปอร์เซ็นเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ และถ้าร้ายแรงมาก น้องอาจจะต้องโดนผ่าตัดขา
ในส่วนของระบบขับถ่ายนั้น คุณหมอบอกว่า น้องไม่สามารถอั้นปัสสาวะได้ จริงอยู่ที่ตอนนี้น้องยังเป็นเด็กทารกอยู่ แต่เมื่อโตขึ้นน้องจะมีปัญหาในเรื่องของการอั้นปัสสาวะ โดยเด็กทั่วไปเมื่อโตขึ้นก็จะสามารถอั้นได้ แต่น้องจะอั้นไม่ได้ และต่อให้ฝึก ก็ไม่สามารถกลับไปปกติได้ 100 เปอร์เซ็นเช่นกัน
คุณหมอบอกว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากตอนท้องช่วงแรก ๆ นั้น คุณหมอไม่ได้ให้กรดโฟลิกมาทาน และให้มาแค่ยาบำรุงและยาแก้แพ้เท่านั้น “อยากให้คุณแม่ทุกท่านที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ได้ใช้เรื่องราวของคุณแม่ไว้เป็นข้อมูล และใส่ใจกับการทานกรดโฟลิคไว้ให้มาก ๆ ถ้าหากคุณหมอไม่ได้ให้มา ก็ควรที่จะหาซื้อทาน และทานผักผลไม้ให้มาก ๆ เช่นกัน”
ทีมงานดิเอเชี่ยนพาเร้นท์ทุกคน ขอขอบคุณคุณแม่ Thanya Rat มาก ๆ นะคะ ที่ได้แชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับพวกเราทุกคนได้ฟัง และขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่และน้องกิมหยกมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ และสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ทุกท่านคะ กรดโฟลิคนั้น ไม่จำเป็นจะต้องมาจากยาที่คุณหมอสั่งให้เพียงอย่างเดียว ยังสามารถหาได้จากผักและผลไม้เช่นกัน จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันค่ะ
- นมสำหรับแม่ 1 แก้ว มีปริมาณโฟลิก = 300 ไมโครกรัม
- ถั่วเลนทิลต้ม ½ ถ้วย มีปริมาณโฟลิก = 180 ไมโครกรัม
- กระเจี๊ยบมอญต้ม ½ ถ้วย มีปริมาณโฟลิก = 134 ไมโครกรัม
- หน่อไม้ฝรั่งสุก 6 หน่อ มีปริมาณโฟลิก = 132 ไมโครกรัม
- ผักปวยเล้งสุก ½ ถ้วย มีปริมาณโฟลิก = 130 ไมโครกรัม
- ถั่วแดง ½ มีปริมาณโฟลิก = 114 ไมโครกรัม
- อะโวคาโดสดขนาดกลาง ½ ผล มีปริมาณโฟลิก = 80 ไมโครกรัม
- น้ำส้มคั้นสด 1 แก้ว มีปริมาณโฟลิก = 80 ไมโครกรัม
- ข้าวโพดนึ่งฝักใหญ่ 1 ฝัก มีปริมาณโฟลิก = 55 ไมโครกรัม
- บร็อกโคลี่สุก ½ ถ้วย มีปริมาณโฟลิก = 52 ไมโครกรัม
ที่มา: คุณแม่ Thanya Rat
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!