ซึ่งข้อความดังกล่าวได้ระบุว่า “ฝากถามว่า หมาที่มานอนอยู่บริเวณหน้าร้าน และทุกร้านด้วยมาจากไหนทำไมถึงไม่มีใครมาจัดการเพราะมีคนเดินเข้าออก 24 ชม. นะคะแล้วเกิดเหตุการแบบนี้ขึ้นมาจะถามหาความรับผิดชอบจากใครได้ รัฐออกกฏหมายห้ามทำร้ายหมาแต่ตอนนี้หลาน…ถูกหมาทำร้ายหน้าตาแหกแบบนี้ (รัฐมาช่วยประชาชนมั้ย) ”ป่าวเลย”ช่วยแก้กฏหมายหรือเพิ่มมาก็ได้อย่าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ อีกเลย ปล.ถ้าเป็นไปได้ช่วยแก้ไขข้อนี้ด้วยนะอย่าให้ต้องเกิดกับใครอีกเลยตอนนี้ ยังคงต้องรักษาตัวอยู่เลย”
โดยน้าสาวได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า เหตุดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 21.00 น. โดยหลานสาว คือ น้องมุก อายุ 3 ขวบ ได้ไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อชื่อดังพร้อมกับพ่อแม่ โดยช่วงที่จะออกจากร้าน พ่อได้เดินนำไปก่อนเพื่อเอารถมารับ ส่วนแม่จ่ายเงิน และไม่เห็นว่าเด็กยังยืนอยู่ในร้านคิดว่าเดินตามพ่อไปแล้ว จึงเดินออกมาทำให้เด็กเดินตามหลังออกมาติด ๆ และกินโยเกิร์ตไปด้วย ซึ่งขณะที่เดินออกมานั้น สุนัขตัวหนึ่งได้กัดเด็กเข้าเต็ม ๆ บริเวณใบหน้า สร้างความตกใจให้กับทุกคน หลังเกิดเหตุรถของอาสาสมัคร ฯ ได้อยู่บริเวณดังกล่าวจึงช่วยนำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งปกติแล้วบริเวณดังกล่าวจะมีสุนัขประมาณ 10 ตัว แต่วันที่เกิดเหตุนอนอยู่ 2 ตัว
“หลังเกิดเหตุทางบ้านได้เดินทางมาที่ร้านดังกล่าวอีกครั้ง พนักงานได้เปิดกล้องวงจรปิดดูและเห็นชัดเจนว่า เด็กไม่ได้ทำอะไรสุนัขเลย เพียงแต่เดินตามแม่ออกมาจากนั้น สุนัขมองหน้าและตรงเข้ากัดทันที จากการสอบถามแม่ค้าบริเวณดังกล่าว ทราบว่า สุนัขตัวนี้มักกัดกับตัวอื่นอยู่บ่อยๆ และเคยเข้ามากัดข้าวของในร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ ซึ่งพนักงานพยายามไล่ไปจากบริเวณหน้าร้านแล้วหลายครั้ง แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะมีคนที่คอยให้ข้าวน้ำ และพนักงานมักโดนต่อว่าเมื่อไปไล่สุนัข แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็ไม่เห็นว่าจะมีใครที่แสดงตัวเป็นเจ้าของรับผิดชอบ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ต้องการโทษทางร้านหรือโทษแต่สุนัข แต่ที่โพสต์เรื่องดังกล่าวเพราะอยากให้เป็นอุทาหรณ์ว่าต้องดูแลเด็กไม่ให้คลาดสายตา ทั้งนี้ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อ ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการติดต่อมาและสอบถามอาการเด็กอย่างต่อเนื่องแล้ว”
สำหรับอาการของน้องขณะนี้ แพทย์แจ้งว่า แผลน้องลึกแต่ไม่สามารถเย็บได้ เบื้องต้นได้ทำแผล และฉีดเซรุ่มให้ 2 เข็ม แต่พบว่า แผลน้องยังมีเลือดซึมออกมาตลอด
ส่วนสุนัขตัวดังกล่าว เบื้องต้นทราบว่าหลังเกิดเหตุทางเทศกิจได้มาจับสุนัขไปแล้ว แต่จับไปเพียง 1 ตัว โดยแม่ค้าหลาย ๆ คน ก็กังวลว่า สุนัขตัวดังกล่าวอาจเป็นบ้า เพราะชอบกัดกับตัวอื่นอยู่บ่อย ๆ รวมทั้งมีอาการดูหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ตนเองและครอบครัวเผยแพร่เพราะต้องการให้เป็นบทเรียนของหลาย ๆ คน ไม่ได้ต้องการโทษใคร แต่ก็พบว่ามีคนเข้ามาต่อว่าพ่อแม่ของน้อง ซึ่งอยากขอร้องว่า ตอนนี้น้องเจ็บมากพออยู่แล้ว ทุกคนเสียใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากพอแล้ว
คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้าได้ที่หน้าถัดไปค่ะ
โรคพิษสุนัขบ้าคืออะไร ?
โรคพิษสุนัขบ้าหรือโรคกลัวน้ำ เป็นโรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ เรบีส์ ไวรัส (Rabies) โรคนี้เมื่อเป็นแล้วจะทำให้มีอาการทางประสาท โดยเฉพาะระบบประสาทส่วนกลาง ในปัจจุบันยังไม่มียาอะไรที่จะรักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้ เมื่อเกิดอาการขึ้นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายได้ ต้องเสียชีวิตทุกราย
โรคพิษสุนัขบ้า ไม่ได้เกิดกับสุนัขเท่านั้น
ชื่อของโรคทำให้เข้าใจกันผิดคิดว่าโรคนี้เกิดกับสุนัขเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วโรคนี้เกิดกับสัตว์เลือดอุ่นด้วย โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เช่น แมว ชะนี ลิง กระรอก กระแต กระต่าย หนู ค้างคาว แม้แต่สัตว์เศรษฐกิจอย่าง วัว ควาย ม้า สุกร โดยสุนัขเป็นตัวแพร่เชื้อที่สำคัญมากที่สุด กว่า 95% ของผู้เสียชีวิตมีสาเหตุมาจากสุนัข รองมาคือ แมว
คนติดโรคพิษสุนัขบ้าจากทางใดได้บ้าง?
คนเป็นโรคพิษสุนัขบ้าเนื่องจากได้รับเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าจากสัตว์ที่เป็นโรค คนสามารถติดโรคจากสัตว์เหล่านี้ได้ 2 ทางคือ
- ถูกสัตว์ที่เป็นโรคกัด เชื้อไวรัสจากน้ำลายของสัตว์ที่เป็นโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลที่ถูกกัด
- ถูกสัตว์ที่เป็นโรคเลีย โดยปกติคนถูกสัตว์ที่เป็นโรคเลีย จะไม่ติดโรคจากสัตว์เหล่านั้น นอกเสียจากว่าบริเวณที่ถูกเลียจะมีบาดแผลหรือรอยถลอกหรือรอยขีดข่วน โดยคนนั้นไม่ได้สังเกต ในกรณีนี้จะทำให้สามารถเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ รวมทั้งถูกเลียที่ริมฝีปากหรือนัยน์ตา
ระยะฟักตัวของโรคพิษสุนัขบ้า
ระยะฟักตัวหลังจากเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายไปจนเกิดอาการ ใช้เวลาประมาณ 2 – 8 สัปดาห์ หรืออาจสั้นเพียง 5 วัน หรือยาวนานเกินกว่า 1 ปี โดยระยะฟักตัวจะสั้นหรือยาวขึ้นกับปัจจัยบางอย่าง เช่น ความรุนแรงของบาดแผล ปริมาณของปลายประสาทที่ตำแหน่งของแผล และระยะทางแผลไปยังสมอง เช่น แผลที่หน้า ศีรษะ คอ หรือมือ อีกทั้งลักษณะของเครื่องนุ่งห่ม และ การล้างแผลจะมีส่วนช่วยลดจำนวนเชื้อลงได้มาก
อาการของคนที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
ในระยะ 2-3 วันแรก อาจมีไข้ต่ำ ๆ ต่อไปจะมีอาการเจ็บคอ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย คันหรือปวดแสบปวดร้อนตรงบริเวณแผลที่ถูกกัด ทั้ง ๆ ที่แผลอาจหายเป็นปกติแล้ว
จากนั้นจะมีอาการตื่นเต้นง่าย กระสับกระส่าย ไม่ชอบแสงสว่าง ไม่ชอบลม และไม่ชอบเสียงดัง กลืนลำบาก แม้จะเป็นของเหลวหรือน้ำ เจ็บมากเวลากลืน เพราะการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกลืน แต่ยังมีสติพูดจารู้เรื่อง
ต่อไปจะเอะอะมากขึ้น และสุดท้ายอาจมีอาการชัก เป็นอัมพาต หมดสติ และเสียชีวิต เนื่องจากส่วนที่สำคัญของสมองถูกทำลายไปหมด
ข้อควรปฏิบัติเมื่อถูกสุนัขบ้าหรือสัตว์ที่สงสัยว่าบ้ากัด
- ล้างแผลทันทีด้วยน้ำสะอาด ฟอกด้วยสบู่ 2-3 ครั้ง แล้วทาแผลด้วยน้ำยาพิวิดีน (เบตาดีน) หรือแอลกอฮอล์ หรือทิงเจอร์ ไอโอดีน แล้วรีบไปปรึกษาแพทย์ทันที
- ถ้าสุนัขตายให้นำซากมาตรวจ ถ้าหากสุนัขไม่ตายให้ขังไว้ดูอาการ 10 วัน ขณะเดียวกันให้รีบไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ส่วนการรักษาทางสมุนไพรหรือแพทย์แผนโบราณไม่สามารถป้องกันโรคได้ ไม่ควรรอดูอาการสุนัข เพราะอาจสายเกินไปที่จะฉีดวัคซีน การฉีดยาป้องกันที่ได้ผลสูงสุดอยู่ในช่วง 48 ชั่วโมงหลังถูกกัด
- ในกรณีที่ติดตามสัตว์ที่กัดไม่ได้ เช่น เป็นสัตว์ป่า สัตว์จรจัด สัตว์กัดแล้วหนีไป หรือจำสัตว์ที่กัดไม่ได้ จำเป็นต้องรับการฉีดวัคซีน
- ผู้ที่ต้องมารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าคือ มีบาดแผล ไม่ว่าจะเป็นรอยช้ำเขียวหรือมีเลือดไหล แผลถลอกหรือแผลลึก รวมทั้งผู้ที่ถูกสุนัขเลียที่นัยน์ตา ริมฝีปาก และผิวหนังที่มีแผลถลอก ส่วนในกรณีที่ถูกเลียผิวหนังที่ไม่มีแผลหรือเพียงแต่อุ้มสุนัขไม่สามารถจะ ติดโรคได้
ที่มา: ข่าวสด
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
โรคพิษสุนัขบ้า น่ากลัวกว่าที่คิด
7 สิ่งที่ไม่ควรทำต่อหน้าลูก
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!