พบกับอีกหนึ่งกระทู้ดังจากเวปพันธิป ที่คุณพ่ออยากบอกเล่าประสบการณ์จริง เพื่อเปิดอีกหนึ่งมุมมองของการมีลูกแฝด เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
ผมคบกับแฟนมาหลายปี ในที่สุดก็ของเธอแต่งงาน แต่งงานไปปีกว่าๆ แฟนก็ตั้งครรภ์(วางแผนกับแฟนว่า อยากจะมีลูกสักสามคน)
ตอนรู้ว่าแฟนตั้งครรภ์ก็ดีใจครับ(ประจำเดือนหายไป) มาเครียดตอนเกือบสองเดือน มีเลือดออกทางช่องคลอด ไปนอนรพ. หมอทำอัลตร้าซาวน์ ผลคือได้แฝด เห็นแค่ถุงกับก้อนเนื้อเล็ก ๆ ที่มีหัวใจเต้นอยู่สองดวง หมอบอกให้นอนนิ่ง ๆ บนเตียงในหอผู้ป่วยใน นอนได้สองวัน แฟนบ่นว่าเบื่อ จนต้องกลับไปนอนบ้าน (แต่ยังมีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อยนะครับ) กลับบ้าน ที่ไหนได้ แทนที่จะนอนนิ่งๆ ก็เดินไปโน่นนี่ ตามประสาคนที่ไม่ชอบหยุดนิ่ง แต่แฟนมีความสุขมากกว่านอนรพ. อยู่บ้านได้สองสามวัน ก็ไม่มีเลือดออกทางช่องคลอดแล้ว
ผมก็พาแฟนไปฝากพิเศษ กับหมอสูตินรเวช หมอทำอัลตร้าซาวน์ พบว่า แฝดแบบถุงคนละใบ ซึ่งมีโอกาสได้เพศเดียวหรือต่างเพศก็ได้ (หมอบอกว่าดีกว่า แฝดในถุงใบเดียวกัน เพราะมีโอกาสรกพันกัน (เด็กอาจจะตายได้) หรือมีโอกาสเด็กคนนึงตัวใหญ่ คนนึงตัวเล็ก) แต่เนื่องจากมีสองคนในท้อง อาจจะทำให้คลอดก่อนกำหนดได้ สิ่งที่ตามมาคือน้ำหนักน้อย อาจจะต้องนอนในตู้อบ หรือมีผลต่ออวัยวะหลายส่วนที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ (แอบเครียดเลยทีนี้) ตอนแรก ตั้งเป้า ต้องอายุครรภ์ อย่างน้อย 28 สัปดาห์ (ตามกฎหมาย ถ้าอายุครรภ์น้อยกว่านี้ เรียกว่าแท้งครับ) เพราะถ้าน้อยกว่านั้น โอกาสเด็กจะรอดยาก (ยกเว้นอยู่ในโรงเรียนแพทย์) พอถึง 28 สัปดาห์ เราก็ลุ้นกันต่อให้ถึง 34 สัปดาห์ เพราะถ้าเกินนี้ อวัยวะ โดยเฉพาะปอดเด็ก จะทำงานได้ดีกว่าอายุครรภ์น้อยกว่านี้
ช่วงระหว่างนี้ ผมกับแฟน ก็เริ่มตั้งชื่อลูกกันครับ หาทั้งตำราที่ซื้อมาอ่าน ไม่ก็จากใน google ไปหาวันครบกำหนดคลอดว่าวันไหนดี (หมอบอกว่า ผ่าตัดคลอดดีกว่าคลอดเอง เพราะเสี่ยงน้อยกว่า) เชื่อไหมครับ แค่ชื่อ ทำเอาผมกับแฟนต้องไปเปลี่ยนนามสกุลกันเลยทีเดียว เหตุเพื่อให้ลูก ได้นามสกุลที่รวมกับชื่อแล้ว จะได้ผลลัพธืที่ดี (นอกจากจะดูเรื่องของ บริวาร อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี กาลกิณีแล้ว) ฝากท้องไปเรื่อย ๆ หมอก็บอกว่า เห็นคนนึงเป็นผู้ชายแน่ ๆ ส่วนอีกคนเห็นไม่ชัด (ผมก็อยากให้อีกคนเป็นผู้หญิง แฟนก็หวังแบบนั้น แต่ถ้าเป็นชายสองคนก็ไม่มีปัญหา) จนกระทั่งเกือบ 38 สัปดาห์ ท้องแฟนผมใหญ่มาก ๆ หมอบอกว่าทำอัลตราซาวน์แล้ว เด็กน้ำหนักราว ๆ 2.5 กก.ทั้งสองคน
ก่อนจะผ่าตัด หมอก็เสนอให้เราว่าจะบล๊อกหลังหรือดมยา แฟนเลือก บล๊อกหลัง เพราะหลังผ่าได้เห็นหน้าลูกเลย แถมฟื้นไวกว่า (แต่ไม่เหมาะกับคนที่คิดโน่นนี่นะครับ เพราะตอนผ่า จะได้ยินเสียงหมอพูดกัน แถมได้ยินเสียงเครื่องมืออีก) ตอนผ่านี่ ผมขอหมอเข้าไปด้วย และขออนุญาติบันทึกภาพ ซึ่งทางรพ.ก็อนุญาติ หมอผ่าเร็วมาก ราว ๆ 40 นาทีก็เสร็จ ลูกคนแรก ที่หมอเอาออกมาเป็นผู้ชาย หนัก 2.9 กก. ส่วนคนที่สองเป็นผู้หญิง หนัก 2.6 กก. (รวมอยู่ในท้องแฟนผม 5.5 กก. ซึ่งผมว่า มันใหญ่มาก ๆ แต่ดีใจ ไม่มีลูกคนไหน น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ คือ 2.5 กก.) เสียงร้องหลังเกิดนี่ดีมากๆ หมอบอกว่า เสียงดัง แปลว่าปอดดี ถ้าให้ดูหน้าเด็กสองคน โดยไม่ดูอวัยวะเพศนี่ บอกได้เลยว่า ไม่รู้คนไหนผู้ชาย คนไหนผู้หญิง พอพยาบาลดูแลเช็ดตัวเด็ก พร้อมห่อผ้าทั้งเด็กทั้งสองคน เอาเข้ามาในห้องผ่าตัด ให้แฟนได้อุ้ม วินาทีนั้น แฟนผมดีใจจนน้ำตาไหล
อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของคุณพ่อได้ที่หน้าถัดไปค่ะ
หลังจากหมอเย็บแผลเสร็จ ก็ไปอยู่ที่ห้องพักฟื้นหลังผ่าตัด ส่วนเด็ก มีทีมหมอเด็กและพยาบาลรับไปดูแลต่อ แต่เกิดปัญหาที่ไม่คาดคิด คือ หมอบอกว่า มดลูกหดรัดตัวไม่ดี เลือดยังออกจากช่องคลอดตลอด ที่หดไม่ดี น่าจะเพราะลูกทั้งสองคนในท้อง น้ำหนักดีมาก ทำให้มดลูดยืดตัวมากเกินไป(ก็สองคนนั้น น้ำหนักรวม 5.5 กก.นี่นา) หมอแนะนำใช้ยาดูก่อน ยาที่ใช้ชื่อ นาลาดอล (ถ้าจำไม่ผิด) ใช้ไปหลายครั้ง จนแฟนผมตัวสั่น จนในที่สุด หมอบอกว่า ยาที่ใช้ถึงขีดสุดแล้ว คงต้องผ่าตัดเอามดลูกออกอย่างเดียว วินาทีนั้น น้ำตาไหล และไม่ได้ยินหมอพูดอะไรอีกเลย สมองเคว้งคว้างไปหมด ราวกับ ทุกสิ่งมันหยุดนิ่ง
จนกระทั่ง หมอเอามือมาแตะไหล่ นั่นแหละ สติถึงกลับมาอยู่กับตัว ก็ตกลงกับหมอว่า ก็คงต้องผ่าตัด เพื่อป้องกันการช๊อค มีโอกาสเสียชีวิต โดยจะตัดเฉพาะมดลูก เหลือปากมดลูก และรังไข่สองข้างไว้ ตอนหมอพาแฟนไปผ่าตัดรอบสอง ซึ่งต้องดมยาสลบ(รอบแรกตอนผ่าเกิด โดนบล๊อกหลัง) ผมยังทำใจไม่ได้ ไม่ได้เข้าไปในห้องผ่าตัด โทรไปหาพ่อตา พี่สะใภ้ เขาก็รีบมา ได้กำลังขึ้นมาอีกโขเลย จึงเดินเข้าไปในห้องผ่าตัดทั้งน้ำตา แต่ไม่มีเสียงสะอื้น เพราะหมอกำลังผ่าตัด มีให้เลือดระหว่างผ่าตัดไปด้วย (แต่ไม่รู้กี่ถุง)
หลังผ่าตัดเสร็จ ก็ย้ายไปอยู่ที่ห้องพิเศษ ลูกทั้งสองคนก็มาอยู่ในห้องนี้ด้วย ทั้งหมอ พยาบาล ดูแลกันดีมาก แต่ที่ผิดปกติ คือ หลังผ่าคลอดแล้วแฟนผมดูซึม ๆ อุ้มลูกไปให้ดู ก็ไม่ดีใจ เริ่มหาข้อมูล กังวลว่า แฟนจะเป็น Postpartum Blue (อาการซึมเศร้าหลังคลอดลูก) คุยกับหมอที่ผ่า หมอบอกว่าขอตรวจเพิ่มเติมก่อน ตกลงว่าที่ซึม เพราะเสียเลือดไปเยอะ ได้เลือดอีก 2 ถุง ก็กลับมาเป็นปกติเลย
ตอนนี้ลูกทั้งสองคนก็ 7 ขวบแล้ว ข้อดีของการมีลูกแฝด หลายคนคงคิดว่า ดีตรงที่ เกิดครั้งเดียวได้สองคน ไม่ต้องเกิดสองครั้ง
แต่จากการเลี่ยงดูมาหลายปี สิ่งที่ผมพบ
ข้อดีของการมีลูกแฝดอีกหลายๆอย่าง ที่สำคัญ คือ เด็กไม่เหงาครับ (เพราะมีเพื่อนเล่นวัยเดียวกัน) พัฒนาการทางอารมณ์จะเร็วมาก สอนความรู้แบบเดียวกันได้ทั้งสองคน (เพราะอยู่ชั้นเดียวกัน) แต่ ๆ อย่ามองแต่ข้อดีครับ
ข้อเสียของการมีลูกแฝด เท่าที่ผมคิดว่าสำคัญ
1. มีโอกาสโดนตัดมดลูก เพราะสองคนอยู่ในท้อง มดลูกมีโอกาสหดรักตัวไม่ดีหลังคลอด
2. เวลาป่วย มักจะป่วยด้วยกันทั้งคู่ เพราะเล่นด้วยกัน พอคนนึงเป็นหวัด อีกคน ก็จะเป็นตาม คราวนี้ก็ลำบากในเรื่องการดูแล โดยเฉพาะเวลาเป็นไข้ พ่อแม่แทบไม่ได้นอนกัน
3. ค่าใช้จ่าย เพิ่มขึ้น บางอย่างก็สองเท่า เช่นค่าเรียน ค่าชุด
4. มีหลายความเชื่อประดังเข้ามาครับ เช่น บางคนบอกต้องจัดงานแต่งงาน เพราะเชื่อว่าแต่เดิมสองคนนี้เป็นคู่กันมาก่อน/จะอายุสั้นไม่ทันได้เติบใหญ่ก็มีอันเป็นไปเสียก่อน บางคนบอกต้องแยกให้ญาติไปเลี้ยง 1 คน ถ้าเลี้ยงรวมกันเชื่อว่าเด็กจะตายทั้ง 2 คน แต่ถ้าเป็นชายคนหนึ่งหญิงคนหนึ่ง เลี้ยงรวมกันไม่เป็นไร บางคนบอกถ้ามีลูกแฝดต้องตั้งชื่อให้ไปคนละทิศละทาง จะได้ไม่ตีกัน ตอนแรก ๆ ก็ไม่เชื่อครับ แต่พอหาอ่านข้อมูล ก็ไม่อยากไปลบหลู่ ตกลงกับแฟนไปทำพิธีกรรมกับเจ้าแม่กวนอิมครับ ทำแล้วสบายใจดี
ผมว่า ตั้งครรภ์ ทีละ 1 คนดีกว่าครับ (ถ้าเลือกได้) ความเสี่ยงน้อยกว่า บริหารจัดการง่ายกว่า เรื่องเสียน้ำตาก็อาจจะไม่มีครับ แล้วก็ต้องเลือกหมอ พยาบาล ซึ่งเป็นทีมที่มีควาสำคัญในการดูแลครับ (ถ้าเลือกได้) กำลังใจและสติต้องดีเมื่อมีสิ่งที่ไม่คาดคิดประดังเข้ามาครับ
ขอบคุณที่มา: Pantip
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
แม่ใจสู้ไม่ยอมทำแท้ง คลอดลูกแฝดหญิงตัวติดกัน
หาดูยาก 1:80,000!!! แม่คลอดลูกแฝดในน้ำที่เกิดมาพร้อมถุงน้ำคร่ำสมบูรณ์
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!