ในปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลทางการแพทย์ และการพัฒนาต่าง ๆ ได้ง่าย และสะดวกยิ่งขึ้น ดังนั้น การเสริมพัฒนาการในครรภ์ จึงเป็นที่นิยมอย่างมาก สำหรับคุณแม่ หลาย ๆ คน โดยอายุครรภ์ที่เหมาะสม กับการรับรู้ และสามารถพัฒนาการได้อย่างรวดเร็วนั้น อายุครรภ์จะอยู่ที่ 27 สัปดาห์
เนื่องจากช่วงอายุครรภ์ 27 สัปดาห์นั้น ระบบอวัยวะของเด็ก จะเริ่มสมบูรณ์ และมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม กับการกระตุ้น การพัฒนาการให้เด็ก ทั้งทางด้าน EQ และ IQ แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยัน และรับรอง ว่าช่วยได้จริงแค่ไหน ทั้งนี้ทั้งนั้น การกระตุ้นนี้ ยังส่งผลถึง สภาวะจิตใจของตัวคุณแม่ ให้รู้สึกผ่อนคลาย และส่งผลดีไปถึงเด็กในครรภ์
ควรจะกระตุ้นพัฒนาการเมื่อไหร่ดี
โดยมากเมื่ออายุครรภ์ครบ 27 สัปดาห์ ร่างกายของเด็ก จะมีความยาวขึ้นประมาณ 36 เซนติเมตร หรือประมาณ หัวของดอกกระหล่ำ ช่วงระยะเวลานี้ เด็กจะเริ่ม มีโครงสร้างชัดเจน รวมถึงเซลล์สมอง และระบบอวัยวะอื่น ๆ ที่จะเริ่มเพิ่มทั้งจำนวน ขนาด และเชื่อมโยงกัน จึงเข้าใจได้ว่า ช่วงอายุครรภ์นี้ เราจะสามารถกระตุ้น และพัฒนา และสื่อสารกับเด็กในครรภ์ได้
การกระตุ้นพัฒนาการสมองลูกน้อย ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือ การเสริมพัฒนาการในครรภ์ สามารถทำได้หลายวิธี ยกตัวอย่างวิธีที่ทำได้ง่าย ๆ ไม่สิ้นเปลือง และไม่เป็นอันตรายให้คุณแม่ลองนำไปปฏิบัติ คือ
การปรับอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ
คนอารมณ์ดี ย่อมมีความสุขกว่าคนอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว จากการศึกษาทางการแพทย์ พบว่าคุณแม่ที่มีอารมณ์ดีอยู่เสมอ จะทำให้ร่างกาย มีการหลั่งสารแห่งความสุข ที่เรียกว่า เอนดอร์ฟิน (endorphin) ออกผ่านไปทางสายสะดือ ไปยังลูกทำให้ ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ) ในทางตรงกันข้าม คุณแม่ที่มีอารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย ร่างกายจะหลั่งสาร แห่งความเครียด ที่เรียกว่า อะดรีนาลิน (adrenalin) ออกมาผ่านไปยังลูก ผลดังกล่าว จะทำให้ลูกคลอดออกมาเด็กงอแง เลี้ยงยาก พัฒนาการช้า ฟังดูแล้วจะว่าทำได้ง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะบางคนไม่ใช่คนที่จะปล่อยวางอะไรได้ง่าย ๆ หรือเป็นคนเครียดตลอดเวลา ถ้าต้องมาปรับอารมณ์ให้ดี อาจจะเครียดจากการปรับอารมณ์ หรือเปล่า ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
ฟังเพลง
ระบบประสาทการรับฟังของลูกน้อยในครรภ์ จะเริ่มทำงานตั้งแต่ อายุครรภ์ประมาณ 5 เดือน การใช้เสียงกระตุ้น จะทำให้เครือข่ายใยประสาท ที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยิน ของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น เสียงที่ดีที่ควรใช้ในการกระตุ้น ก็คือ เสียงเพลง โดยเฉพาะเพลงที่มีความไพเราะ และคุณแม่ชอบฟัง ไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงคลาสสิคเท่านั้น เพราะบางเพลง ถ้าฟังไม่ดีอาจจะประสาทรับประทานก็ได้ครับ เวลาคุณแม่ฟังเพลง ควรจะเปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต และเปิดเสียงดัง พอประมาณเพื่อลูกในครรภ์จะได้ฟังเสียงเพลงไปด้วย การที่ลูกในครรภ์ได้รับฟังเสียงเพลง คลื่นเสียงจะไปกระตุ้นให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง กับการได้ยินมีการพัฒนาระบบการทำงานได้เร็วขึ้น ทำให้เมื่อลูกคลอดออกมา มีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดี
พูดคุยกับลูก
การพูดคุยกับลูกในครรภ์บ่อย ๆ จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีและเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด คุณแม่ควรพูดกับลูกบ่อย ๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำ ๆ เพื่อให้ลูกคุ้นเคย อย่าไปเล่าเรื่องทุกข์ใจ เช่น เป็นหนี้เขาอยู่ หรือส่งแชร์ไม่ทัน ให้ลูกฟังนะครับ เพราะเดี๋ยวลูกจะเครียดเสียตั้งแต่อยู่ในท้อง
ลูบหน้าท้อง
การลูบหน้าท้องจะกระตุ้นระบบประสาท และสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น การลูบท้องควรลูบเป็นวงกลม จะจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบน บริเวณไหนก่อนก็ได้ครับ
ส่องไฟที่หน้าท้อง
ลูกน้อยในครรภ์สามารถกระพริบตาเพื่อตอบสนองต่อแสงไฟที่กระตุ้นได้ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน การส่องไฟที่หน้าท้องจะทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพ และการมองเห็นมีพัฒนาดีขึ้น และเตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นภายหลังคลอด การส่องไฟที่หน้าท้องไม่จำเป็นต้องไปเล็งว่าแสงจะเข้าตรงกับนัยน์ตาของลูกหรือเปล่า คุณแม่บางคนมาขอให้หมอตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อหาตำแหน่งของนัยน์ตาลูกก็มี ผมว่ามันออกจะมากเกินไปครับ เอาแค่ให้ลูกรู้ว่ามีแสงส่องเข้ามาก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ออกกำลังกาย
เวลาคุณแม่มีการออกกำลังกาย ลูกที่อยู่ในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย และผิวกายของลูกจะไปกระแทกกับผนังด้านในของมดลูก ผลดังกล่าวจะกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้น
เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม
เนื้อสมองของลูกน้อยในครรภ์มีองค์ประกอบเป็นไขมัน โดยเฉพาะไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 60 กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ความสำคัญต่อพัฒนาการสมองของลูกน้อยในครรภ์คือ กรดไขมันที่มีชื่อว่า ดีเอ็ช เอ (DHA) ซึ่งมีมากในอาหารปลา พวกปลาทะเล และสาหร่ายทะเล และ เออาร์เอ (ARA) ซึ่งมีมากในอาหาร พวกน้ำมันพืช เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเม็ดทานตะวัน และน้ำมันข้างโพด การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารดังกล่าวให้เพียงพอจะทำให้ลูกในครรภ์ได้รับวัตถุดิบคุณภาพดีในการสร้างเนื้อสมอง และระบบเส้นใยประสาทให้มีคุณภาพดีตามไป
ขอให้คุณแม่ทุกคนโชคดีมีลูกน่ารัก และเฉลียวฉลาดสมดังที่ตั้งใจนะครับ
อ้างอิง :
si.mahidol.ac.th , huggies.co.th , meadjohnsonni.com
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!