X
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้าเข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ตั้งครรภ์
    • คำนวณวันคลอด
    • ฉันกำลังตั้งครรภ์
    • ไตรมาสที่ 1
    • ไตรมาสที่ 2
    • ไตรมาสที่ 3
    • Project Sidekicks
    • ตั้งชื่อลูก
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • อีเว้นท์
    • TAP Awards Winners
    • TAP idol
    • TAP x Safari Largest Treasure Hunt
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

เรื่องดีๆ ไม่แชร์ ทีเรื่องแย่ๆ ชอบนัก ทำไมคนไทยชอบแชร์เรื่องลบเรื่องร้ายบนโซเชียลมีเดียจัง?

30 Sep, 2017
เรื่องดีๆ ไม่แชร์ ทีเรื่องแย่ๆ ชอบนัก ทำไมคนไทยชอบแชร์เรื่องลบเรื่องร้ายบนโซเชียลมีเดียจัง?

เรื่องดีๆ ไม่แชร์ ทีเรื่องแย่ๆ ชอบนัก ทำไมคนไทยชอบแชร์เรื่องลบเรื่องร้ายบนโซเชียลมีเดียจัง? สงสัยกันไหมว่าเพราะอะไร หรือบางทีเราก็ไม่ได้คิดอะไรมากกันนะ

เรื่องดีๆ ไม่แชร์ ทีเรื่องแย่ๆ ชอบนัก ทำไมคนไทยชอบแชร์เรื่องลบเรื่องร้ายบนโซเชียลมีเดียจัง?

เรื่องดีๆ ไม่แชร์ ทีเรื่องแย่ๆ ชอบนัก ทำไมคนไทยชอบแชร์เรื่องลบเรื่องร้ายบนโซเชียลมีเดียจัง? บทความจากเว็บไซต์ The Standard ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับพฤติกรรมการแบ่งปันหรือที่เรียกว่าการแชร์ในโลกออนไลน์ไว้อย่างน่าสนใจค่ะ

ใครกันนะที่ชอบโพสต์เรื่องร้ายๆ

คนที่โพสต์เป็นประจำจนกลายเป็นกิจวัตร ไม่ว่าจะเรื่องอะไร วันนึงๆ ไม่ต่ำกว่า 3 โพสต์ บางคนโพสต์แทบทุกชั่วโมง ทุกเรื่องตั้งแต่วันแดงเดือด รถติด ทะเลาะกับแฟน เจ้านายด่า ลูกน้องไม่ถูกใจ เพราะอะไรถึงโพสต์เยอะขนาดนั้น เอาเป็นว่ายังไม่มีการเก็บข้อมูลอย่างจริงจัง รวมถึงการวิจัยอย่างเป็นทางการ เอาเท่าที่เดาๆ กัน อาจจะเป็นเพราะไม่มีความมั่นใจในตัวเองเหรอ เรียกร้องความสนใจไหม ต้องการกำลังใจรึเปล่า หรือแค่อยากระบาย

1.ความมั่นใจต่ำ โซเชียลช่วยให้มั่นใจมากขึ้น

คนแบบนี้จะมีลักษณะนิสัย อ่อนไหวง่ายต่อคำวิจารณ์, จิตตกง่าย สะเทือนใจง่าย, กลัวการเข้าสังคม, ไม่กล้าพูดกับใครก่อน, มีพฤติกรรมเช็กเรตติ้งในหลายรูปแบบ, ยึดติดกับวัตถุนอกกาย,หาความสุขจากสิ่งภายนอก, ไม่ดูแลตัวเองหรือที่อยู่อาศัย, ไม่กล้าตัดสินใจ,แคร์สายตาคนอื่นมากกว่าความต้องการของตัวเอง, กลัวผิด, ไม่กล้าลงมือ, วางอำนาจ, ชอบแก้ตัว, มักยกตนข่มผู้อื่น, รู้สึกว่าต้องทำดีกว่าเดิมให้ได้อยู่เสมอ (สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพจ สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย)

เมื่อคนที่ไม่มั่นใจและรู้สึกขาด จึงโพสต์เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่บนโซเชียล เลือกโพสต์เฉพาะวันที่แต่งตัวสวย ไปเที่ยวที่ดีๆ เจออะไรเด็ดๆ โพสต์เพื่อให้คนอื่นเห็นเราในแบบที่เราอยากเป็น และให้เขามากดไลก์เพื่อให้ได้การยอมรับในตัวตนนั้น

แต่พอเราเริ่มจริงจังกับอัตลักษณ์บนโลกเสมือน เราก็ถ่ายเทหลายส่วนที่เป็นเราแล้วทำให้มันเสมือนจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ถ่ายโอนทั้งเรื่องดี เรื่องไม่ดี เพราะเชื่อว่าสิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แล้วก็พาลเชื่อเวลามีคนมากดไลก์สเตตัสที่ลบๆ ร้ายๆ ว่า เขาสามารถยอมรับและเข้าถึงตัวตน (เสมือน) ของเราได้ในทุกด้าน โอ้ววว…โลกในฝันดีๆ นี่เอง

2.อยากให้คนอื่นต้องการความใส่ใจ

ดูง่ายๆ คนที่โพสต์บ่อยมากเท่าไร ก็เพราะต้องการความสนใจจากเพื่อนและสาธารณะมาก มีงานวิจัยทางจิตวิทยาจาก Union College of New York บอกว่า คุณกำลังโหยหาความเป็นที่สนใจอย่างทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

เอ…หรือเพราะเราไม่ได้ให้ความสนใจต่อกันและกันในชีวิตประจำวัน เพราะแต่ละวันสำหรับหลายคนมันก็เป็นแค่วันธรรมดา ก็เลยรู้สึกดีเวลาที่มีคนมากดไลก์กดเลิฟกับเรื่องบางเรื่องที่เราหยิบยกมาแชร์ เมื่อมีคนสนใจเรื่องของเรา เราก็รู้สึกพิเศษ แล้วบังเอิญว่าบ้านเรานั้นชอบเหลือเกินเรื่องดราม่า อกหัก รักซ้อน ชีวิตทรุด มนุษย์หลายคนก็เลยขยี้เรื่องที่ตัวเองกำลังประสบพอเจอให้ดูพิเศษราวกับว่าตัวเองเป็นตัวละครเอกในละครหลังข่าว ให้คนอ่านอินไปตามๆ กัน

ก็เห็นชัดกันอยู่ว่าบ้านเราชอบข่าวเมาท์ เรื่องดีๆ เบาๆ เหมือนที่เห็นในชีวิตประจำวันมันไม่ดึงความสนใจอะไรอีกแล้ว

3.สนใจตรูนิสนึงน้า

เราต้องการเช็กว่าซัพพอร์ต (support) รายล้อมเรายังมีชีวิตอยู่ไหม ยังแคร์เราอยู่ไหม เราก็เลยโยนภาวะทิ้งดิ่งลงไปในโซเชียล อย่างประโยคที่ว่า “ชีวิตที่ผ่านมาคืออะไร วันพรุ่งนี้ก็ไม่มีจริง” หรือบางทีเราก็โยนภาวะระเบิดในใจ อย่าง “staff ที่นี่น่าต่อยจริงๆ ขออย่าให้ได้ร่วมงานกันอีกเลย” เพื่อให้คนเข้ามาตอบง่ายๆ ว่า “เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ” “ใครทำมึง เดี๋ยวกูช่วย” อะไรเทือกนี้ ใครได้รับข้อความจากเพื่อนในเฟซบุ๊กแบบนี้ไปก็รู้สึกดีว่าเราเนี่ยมีคนคอยอยู่เคียงข้าง ไม่เดียวดาย

บางคนทำในสเกลใหญ่เข้าข่ายบานปลาย ด้วยการหาพวกโพสต์เพื่อโจมตีคนอื่น และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีๆ ที่อาจทำให้ต้องเสียงานเสียการกันได้นะคะ

4.เห็นใจกันบ้าง

หลายคนอาจต้องการกำลังใจชีวิตและความเชื่อมโยงจากเพื่อนมนุษย์ในวันที่แพ้พ่าย ก็เลยแชร์เรื่องแย่ๆ ให้คนอื่นฟัง เดี๋ยว…นี่เราไม่มีพื้นที่ปลอดภัยไว้เล่าเรื่องเศร้าเรื่องแย่ๆ จนคนต้องเอามาเขียนลงบนโซเชียลฯ กันแล้วใช่ไหม? คำตอบก็คือ…น่าจะใช่ ตามธรรมชาติคนเรามีความต้องการที่จะเล่าระบายเรื่องทุกข์ใจให้กับใครสักคนที่ไว้ใจฟัง เมื่อมีความต้องการเชื่อมโยงและต้องการความเห็นอกเห็นใจหรือ ‘empathy’ แล้วบังเอิญมีโลกแห่งความเชื่อมโยงอยู่ในโลกไซเบอร์ เออ…ใครจะไม่ลองใช้ แถมก็มีหลายทีที่เราได้กำลังใจผ่านทางโซเชียลตั้งมากมาย

5.ขาดการเก็บกลั้นอารมณ์

หรือเรียกง่ายๆ ว่าสิ่งที่บ่นในโลกจริงไม่ได้ เราโยนลงโซเชียลหมด โยนทุกอย่างที่วิ่งเข้ามาในหัว โยนทุกความรู้สึกที่ก่อผลึกอยู่ในใจให้ไปวางไว้ใน status update พอเราได้เขียนออกไป เราก็โล่งใจปลอดโปร่ง อันนี้เหมือนผลักให้ทุกอย่างไปกองลงในเฟซบุ๊ก เหมือนเวลาคนโกรธหรืออัดแน่นไปด้วยความคิดในใจมากๆ แล้วจัดการมันไม่ได้ เช่น โกรธเวลาไปรับบริการบางอย่างแล้วไม่รู้จะพูดกับใคร โกรธไปรษณีย์ไทย โกรธประเทศชาติ โกรธคอนโดฯ ที่สร้างอยู่ข้างบ้าน โพสต์ก่นด่ามันก็จะมากันเป็นพรวน

6.เขียนลงไดอารี่เชยแล้ว ต้องโพสต์เท่านั้นในยุคนี้

หลายคนใช้พื้นที่บนโลกโซเชียลมีเดียแทนไดอะรี จด บันทึก แปะภาพ ถ่ายโอนทุกอย่างที่อยากเก็บไว้ในความทรงจำทั้งหมดลงไปในไทม์ไลน์ แล้วพอเราเห็นมันเป็นไดอะรี เรื่องร้าย เรื่องดี เขียนหมดทุกอย่างในหลืบใจ เพราะเข้าใจว่าพื้นโซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเรา เพราะเราจัดการมันได้ ซึ่งเป็นมุมมองที่ผิด เพราะพื้นที่เหล่านั้นห่างไกลจากคำว่าพื้นที่ส่วนตัวมาก มันเป็นที่สาธารณะที่ใครก็ตามสามารถเข้ามาดู ออกความเห็น แชร์ต่อ แคปหน้าจอ และทำอะไรได้หลายอย่าง ที่สำคัญแม้จะมีให้เลือกเซตค่าความเป็นส่วนตัว แต่เอาเข้าจริงๆ เราควบคุมการไหลเวียนของข้อมูลได้ไม่หมดหรอก

 

สิ่งที่น่าคิดซ้ำก็คือ หลายๆ อย่างที่เราต้องการไม่ว่าจะเป็นคุณค่าในตัวเอง ความใส่ใจจากคนรอบข้าง ซัพพอร์ตที่แบ็กอัพใจ ความเชื่อมโยงจากเพื่อนมนุษย์ เติมเต็มความรู้สึกเดียวดายและพื้นที่ปลอดภัยไว้ระบายความทุกข์ใจ และแหล่งกักเก็บความทรงจำอันมีค่าทั้งหลาย เราควรจะใช้พื้นที่บนโลกโซเชียลมีเดียในการทำหน้าที่นั้นไหม?

 

คำถามสำคัญ: เราต้องใช้โซเชียลมีเดียทำหน้าที่นั้นไหม?

ประเด็นต่างๆ ที่กล่าวมาสะท้อนให้เห็นว่า เราใช้พื้นที่โซเชียลออนไลน์เพื่อตอบสนองความต้องการลึกๆ ทางใจหลายอย่าง ทุกอย่างมีที่มา เพียงแต่ว่าสิ่งที่น่าคิดซ้ำก็คือ หลายๆ อย่างที่เราต้องการไม่ว่าจะเป็นคุณค่าในตัวเอง ความใส่ใจจากคนรอบข้าง ซัพพอร์ตที่แบ็กอัพใจ ความเชื่อมโยงจากเพื่อนมนุษย์ เติมเต็มความรู้สึกเดียวดายและพื้นที่ปลอดภัยไว้ระบายความทุกข์ใจ และแหล่งกักเก็บความทรงจำอันมีค่าทั้งหลาย เราควรจะใช้พื้นที่บนโลกโซเชียลมีเดียในการทำหน้าที่นั้นไหม?

‘การแยกแยะ’ หาเส้น ‘ขอบเขต’

ระหว่างตัวตนจริงและอัตลักษณ์เสมือนบนโลกโซเชียล คุณที่ได้รับยอดไลก์ ก็ไม่ใช่คุณจริงๆ ที่นั่งโพสต์รูปเหล่านั้นลงไป การที่คนชอบสิ่งที่คุณเขียนก็ไม่ได้แปลว่าเขายอมรับความเป็นคุณทั้งหมด เขาแค่ชอบข้อความนั้นๆ เท่าที่เขาเห็น เขาแค่ชอบตัวตนจำลองที่คุณปั้นแต่งลงไป

ระหว่างปฏิสัมพันธ์จริงกับปฏิสัมพันธ์ปลอม แน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่เขากดไลก์เขาชอบสิ่งนั้นจริงๆ บางคนทำเพื่อเหตุผลอื่น เช่น กดเพื่อแสดงตัวว่าเห็นข้อความนั้นนะ กดไลค์เพื่อกดดัน เราไม่มีวันรู้ความหมายที่แท้จริงผ่านปฏิสัมพันธ์ปลอม

โซเชียลคือพื้นที่สาธารณะเด้อ

ท่องดังๆ วันละ 3 ครั้งค่ะว่า อินสตาแกรมเอย เฟซบุ๊กเอย ทวิตเตอร์เอย มันเป็นพื้นที่สาธารณะ ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัว และการใช้พื้นที่สาธารณะจำเป็นต้องแคร์คนอื่นที่ใช้ร่วมกัน ไม่ใช่ไอเดียที่ว่า พอเป็นพื้นที่สาธารณะแล้วเราจะทำอย่างไรกับมันก็ได้ ในเมื่อเรายังมีคนอื่นๆ รายล้อมให้เคารพและใส่ใจ

พึงระลึกเสมอว่า อะไรที่คุณเขียนพ่นก่นด่า สาดส่งด้วยความเกลียด หรือแชร์ด้วยความชิงชังนั้น ไม่ได้ลอยอยู่แค่หน้าสเตตัสของคุณคนเดียว แต่เป็นคลื่นระลอกข่าวสารที่จะไปวนบนหน้าพื้นที่โซเชียลคนอื่น นั่นแปลว่าคุณกำลังโยนขยะความรู้สึกและปฏิกูลทางความคิดลอยเข้าไปในอากาศที่มีคนอีกหลายหมื่นคนอาจจะได้รับการปนเปื้อนมันไปโดยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วหลายคนเขาก็ไม่ได้อยากจะเห็นมัน เขาเลือกไม่ได้

โซเชียลบ่ใช่ถังขยะเด้อ

เพราะฉะนั้น มีขยะที่อยากขย้อนก็เอามันไปใส่ลงในพื้นที่ส่วนตัวที่มีคนใกล้ตัวสามารถฟัง ประคอง และกรองมันไปอย่างไว้ใจ หรือไม่ก็ไปพักไว้ในบ่อบำบัดน้ำเสียที่เรียกว่าไดอะรีจะดีกว่าไหม มันจะได้ไม่เบียดเบียนคนอื่นแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิต เพราะมันไม่ใช่การจัดการความรู้สึกแง่ลบอย่างแท้จริง เพราะคุณก็แค่ผลักโยนมันออกไปนอกตัวชั่วคราว

เอาแบบจำง่ายๆ “ถ้ามีขยะ ก็ทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง อย่าโยนมันขึ้นไปบนอากาศให้คนอื่นตามหลบ ตามอี๋ แล้วขยะเหล่านั้นมันก็มีข้อดี มันเคยมีประโยชน์กับเรามาก่อน แค่ตอนนี้อาจเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นถือไว้ที่ตัวแป๊บนึง หยิบขึ้นมาดู พินิจพิเคราะห์ แล้วถ้าเจอถังขยะก็ค่อยปล่อยทิ้งมันให้ถูกที่ถูกทาง หรือบางครั้งเรามองมันนานพอที่จะเห็นประโยชน์จากขยะแล้วนำมันไปรีไซเคิลมาใช้ประโยชน์ใหม่ก็เป็นได้”

อย่างที่สตรีมีคลาสกล่าว เราต้องรับผิดชอบความทุกข์ของตัวเองด้วยตัวของเราเอง นะคะ

และถ้าอยากได้ความเชื่อมโยงเพื่อเติมเต็มความเดียวดายอย่างแท้จริงในเวลาที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส แนะนำให้โทรหาเพื่อนสนิทหรือคนรู้ใจ แล้วใช้เวลาให้มันผ่านไปแบบลืมโทรศัพท์ไปเลย…อันนี้น่าจะเดียวดายน้อยลงได้อย่างแท้ทรู

ขอขอบคุณ เว็บไซต์ The Standard สำหรับบทความดีๆ กระแทกใจ มา ณ ทีนี้

บทความที่น่าสนใจ

วิธีแก้ลูกเอาแต่ใจตัวเอง เลี้ยงลูกยังไงให้พอดีในยุคโซเชียล ก่อนจะสายเกินแก้

5 เรื่องสุดอันตราย กันลูกให้ห่างจากการท้าทายในโลกโซเชียล

parenttown

บทความจากพันธมิตร
วันเด็กแห่งชาติ ปี 2565 กระทรวง อว. ชวนเจ้าตัวเล็ก ร่วมกิจกรรม Online “ถนนสายวิทยาศาสตร์” ลุ้นเปิด “กล่องสุ่มของเล่น” กระจายความสนุกพร้อมกันทั่วประเทศ
วันเด็กแห่งชาติ ปี 2565 กระทรวง อว. ชวนเจ้าตัวเล็ก ร่วมกิจกรรม Online “ถนนสายวิทยาศาสตร์” ลุ้นเปิด “กล่องสุ่มของเล่น” กระจายความสนุกพร้อมกันทั่วประเทศ
ดีแทค ขอชวนน้อง ๆ มา #เปลี่ยนโลกช่วงปิดเทอม กับ dtac Young Safe Internet Leader Cyber Camp ซีซั่น 3
ดีแทค ขอชวนน้อง ๆ มา #เปลี่ยนโลกช่วงปิดเทอม กับ dtac Young Safe Internet Leader Cyber Camp ซีซั่น 3
ครั้งแรกในไทยฟิลิปส์ เปิดตัวโคมUVCยับยั้งเชื้อโรคแบบตั้งโต๊ะ รองรับตลาดการใช้งานในครัวเรือนและธุรกิจบริการ
ครั้งแรกในไทยฟิลิปส์ เปิดตัวโคมUVCยับยั้งเชื้อโรคแบบตั้งโต๊ะ รองรับตลาดการใช้งานในครัวเรือนและธุรกิจบริการ
จะดีแค่ไหนหากโลกนี้มีของเล่นที่เด็กทุกคนสนุกด้วยกันได้อย่างเท่าเทียม มารู้จักกับ BLIX POP กันเถอะ
จะดีแค่ไหนหากโลกนี้มีของเล่นที่เด็กทุกคนสนุกด้วยกันได้อย่างเท่าเทียม มารู้จักกับ BLIX POP กันเถอะ

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

สิยาพัฐ บุญช่วย

  • หน้าแรก
  • /
  • ข่าว
  • /
  • เรื่องดีๆ ไม่แชร์ ทีเรื่องแย่ๆ ชอบนัก ทำไมคนไทยชอบแชร์เรื่องลบเรื่องร้ายบนโซเชียลมีเดียจัง?
แชร์ :
  • 6 เรื่องแย่ๆของแม่มือใหม่ ที่รู้สึก fail เหมือนกันทุกคนแหละ

    6 เรื่องแย่ๆของแม่มือใหม่ ที่รู้สึก fail เหมือนกันทุกคนแหละ

  • ตามลูกให้ทันในยุค โซเชียลมีเดีย ครองโลก

    ตามลูกให้ทันในยุค โซเชียลมีเดีย ครองโลก

  • 400 ชื่อเล่นไทยๆ แต่เก๋ ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ชื่อเล่นไทยๆ ในปี 2023

    400 ชื่อเล่นไทยๆ แต่เก๋ ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ชื่อเล่นไทยๆ ในปี 2023

  • 6 เรื่องแย่ๆของแม่มือใหม่ ที่รู้สึก fail เหมือนกันทุกคนแหละ

    6 เรื่องแย่ๆของแม่มือใหม่ ที่รู้สึก fail เหมือนกันทุกคนแหละ

  • ตามลูกให้ทันในยุค โซเชียลมีเดีย ครองโลก

    ตามลูกให้ทันในยุค โซเชียลมีเดีย ครองโลก

  • 400 ชื่อเล่นไทยๆ แต่เก๋ ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ชื่อเล่นไทยๆ ในปี 2023

    400 ชื่อเล่นไทยๆ แต่เก๋ ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ชื่อเล่นไทยๆ ในปี 2023

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
    • ก่อนตั้งครรภ์
    • การคลอด
    • ระยะการตั้งครรภ์
    • การคลอด
  • พัฒนาการลูก
    • ทารก
    • เด็กก่อนเข้าเรียน
    • ช่วงวัยของเด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • การวางแผนการเงิน
    • การเลี้ยงลูก
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • นมแม่และนมผง
  • โภชนาการ
    • สินค้าเด็ก
    • นมผง
    • เมนูอาหาร
    • สินค้าแม่
  • เพิ่มเติม
    • TAP สังคมออนไลน์
    • ติดต่อโฆษณา
    • ติดต่อเรา
    • Influencer Marketing (KOL)
    • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Sri-Lanka flag Sri Lanka
  • India flag India
  • Vietnam flag Vietnam
  • Australia flag Australia
  • Japan flag Japan
  • Nigeria flag Nigeria
  • Kenya flag Kenya
© Copyright theAsianparent 2023. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

theAsianparent heart icon
เราต้องการส่งแจ้งเตือนข้อมูลข่าวสารไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจไปให้กับคุณ