ไฮเปอร์เทียม น่าห่วงสำหรับเด็กเล็ก หมอเตือนอย่าให้ลูกเล่นมือถือ แท็บเล็ต

หมอเตือนพ่อแม่อย่าให้เด็กเล็กเล่นมือถือ แท็บเล็ต มากเกินไป ระวังเป็นไฮเปอร์เทียม

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ไฮเปอร์เทียม น่าห่วงสำหรับเด็กเล็ก

กรมสุขภาพจิต เผยตัวเลขเด็กเล็กมีอาการ ไฮเปอร์เทียม เพิ่มมากขึ้น เพราะพ่อแม่ปล่อยลูกเล่นเกมในแท็บเล็ต มือถือ

ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต เตือนพ่อแม่ให้ระแวดระวัง หากจะส่งมือถือหรือแท็บเล็ตให้ลูกรัก เพราะพบว่าเด็กเล็ก เป็นโรคไฮเปอร์เทียมกันมากขึ้น

นพ.สมัย ศิริทองถาวร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต อธิบายว่า โรคไฮเปอร์เทียม มีอาการคล้ายโรคไฮเปอร์ แต่ยังไม่ถึงขั้นป่วย สาเหตุสำคัญอยู่ที่พ่อแม่ปล่อยให้เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบเล่นหรือดูเกมในแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน

 

สิ่งที่พ่อแม่เห็น : เด็กจะนิ่ง ไม่ซุกซน ไม่กวนใจพ่อแม่

แต่ในวงการจิตแพทย์พบว่า ความเร็วของภาพในเกมซึ่งเปลี่ยนเร็วทุก 3 วินาทีจะส่งผลโดยตรงต่อสมอง

  • ทำงานไม่ลงตัว ทำให้เด็กเล็กมีอาการดังต่อไปนี้
  • คุมสมาธิไม่ได้
  • ทำให้ทักษะการอ่านการเขียนการพูดของเด็กแย่ลง
  • เด็กมีอารมณ์ร้อน รอคอยไม่เป็น
  • มีปัญหาการอยู่ร่วมกับเด็กวัยเดียวกันหรือคนอื่น

นพ.สมัย กำชับว่า ขอให้พ่อแม่ผู้ปกครองระมัดระวัง อย่าให้เด็กเล็กเล่นเกมจากแท็บเล็ต โทรศัพท์สมาร์ทโฟน หากให้หยุดเล่นสิ่งเหล่านี้ได้เร็วเท่าใดจะเป็นผลดีต่อเด็ก อาการจะค่อย ๆ หายไป โดยผู้ปกครองควรให้เด็กได้เล่นกับเด็กวัยเดียวกัน เพื่อให้เด็กมีทักษะและพัฒนาการทุกด้าน

 

เด็กไทยป่วยโรคไฮเปอร์กว่า 4 แสนคน

สำหรับเด็กวัยเรียนก็มีโรคที่ต้องระวัง น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงโรคจิตเวชที่กระทบต่อการเรียนรู้ของเด็กวัยเรียน กลุ่มเด็กนักเรียนอายุ 6-15 ปี ว่า เด็กที่มีปัญหาการเรียน ผลการเรียนไม่ดี หรือเรียนไม่ทันเพื่อน มักจะพบมีโรคทางจิตเวชแอบแฝง พบบ่อยที่สุดมี 4 โรค

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  1. โรคออทิสติก
  2. โรคสมาธิสั้น
  3. โรคแอลดีหรือภาวะบกพร่องในการเรียนรู้
  4. สติปัญญาบกพร่อง

เกิดมาจากกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก โดยเด็กที่เป็นออทิสติกและสติปัญญาบกพร่อง จะตรวจพบพัฒนาการที่ผิดปกติได้เร็วตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนเด็กที่มีลักษณะของโรคแอลดีนั้น เด็กกลุ่มนี้ไม่มีปัญหาเรื่องไอคิว แต่มีความผิดปกติทางการอ่านเขียนคำนวณต่ำกว่าเด็กวัยเดียวกัน 2 ชั้นปี ควรได้รับการติดตามช่วยเหลือ สำหรับโรคสมาธิสั้นเป็นโรคที่พบได้มากและมีผลกระทบกับคนรอบข้างได้บ่อยที่สุด

ผลสำรวจของกรมสุขภาพจิต ปี 2559 พบร้อยละ 5.4 คาดว่ามีเด็กอายุ 6-15 ปี ซึ่งทั่วประเทศมี 7 ล้านกว่าคน เป็นโรคนี้ประมาณ 420,000 คน หรือพบได้ 2-3 คนต่อห้องเรียนที่มีเด็ก 40-50 คน มักพบในเด็กชายมากกว่าหญิง

 

อาการแสดงหลักๆ โรคสมาธิสั้น

โรคสมาธิสั้นเด็กจะมีอาการแสดงหลักๆ 3 ด้าน ได้แก่ ซนอยู่ไม่นิ่ง ขาดสมาธิ และหุนหันพลันแล่น ประชาชนมักนิยมเรียกว่า โรคไฮเปอร์

  • เด็กจะวอกแวก ทำงานตกๆ หล่นๆ
  • ทำอุปกรณ์การเรียนหายประจำ ซุ่มซ่าม
  • ใจร้อน วู่วาม

อาการดังกล่าวเกิดมาจากสมองทำงานผิดปกติ ผู้ปกครองมักเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กดื้อหรือเป็นเด็กที่ไม่มีความรับผิดชอบ โดยจะพบความผิดปกติชัดเจนขึ้นเมื่ออยู่ชั้นประถมศีกษา หากผู้ปกครองและครูไม่เข้าใจ จะยิ่งทำให้เด็กเกิดปัญหาอารมณ์และพฤติกรรมอาจส่งผลถึงอนาคต เช่น ความเสี่ยงติดสารเสพติด และก่ออาชญากรรม

หากเด็กได้รับการดูแลที่เหมาะสมก็จะสามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติ มีอาชีพได้ อย่างไรก็ตาม เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นเมื่อได้รับการบำบัดรักษาแล้วประมาณ 2 ใน 3 อาการจะหายหรือดีขึ้น

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

การดูแลนักเรียนที่เป็นโรคไฮเปอร์ ผู้ปกครองกับโรงเรียนต้องร่วมมือกัน

คุณครูควรจัดให้เด็กนั่งเรียนหน้าชั้นหรือใกล้ครู เพื่อที่จะคอยกำกับให้เด็กมีความตั้งใจ มีสมาธิ ไม่ควรให้นั่งเรียนหลังห้องหรือนั่งใกล้ประตู หน้าต่าง เนื่องจากเด็กจะมีโอกาสเสียสมาธิง่าย ควรชื่นชมทันทีเมื่อเด็กตั้งใจเรียนหรือตั้งใจทำงาน

ส่วนผู้ปกครองควรจัดบริเวณสงบในบ้านขณะเด็กทำการบ้าน แบ่งงานให้เด็กทำทีละน้อย และควรบอกเด็กล่วงหน้าถึงเรื่องที่ต้องการให้เด็กปฏิบัติ หากเด็กทำผิดควรใช้ท่าทีเอาจริง แต่จัดการอย่างสงบ ลงโทษเด็กตามข้อตกลง เช่น ลดเวลาดูทีวี ที่สำคัญผู้ปกครองต้องฝึกลูกให้มีวินัย อดทน รอคอยเป็น จัดระเบียบให้ทำกิจกรรมต่างๆ โดยพ่อแม่ทำเป็นตัวอย่าง ทั้งนี้ อาการอยู่ไม่นิ่งของเด็กจะลดลงเมื่อโตขึ้น มีประมาณร้อยละ 40 ของผู้ป่วยจะมีอาการจนถึงวัยผู้ใหญ่

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การแก้ไขและส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กวัยเรียนอย่างเต็มศักยภาพ

กรมสุขภาพจิตได้จัดระบบเฝ้าระวังไอคิว อีคิว และค้นหาเด็กชั้นประถมศึกษาที่ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชแอบแฝง เชื่อมโยงระหว่างโรงเรียนโรงพยาบาลในพื้นที่และครอบครัว เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลรักษาเร็วที่สุด ขณะนี้ดำเนินการครอบคลุมทุกอำเภอ โดยครูประจำชั้นสามารถตรวจคัดกรองเด็กที่มีผลการเรียนต่ำ ตามแบบคัดกรองอย่างง่ายที่กรมสุขภาพจิตพัฒนาขึ้น ผลการตรวจที่ผ่านมาพบมีเด็กที่มีอาการใกล้เคียงและเป็นกลุ่มเสี่ยงร้อยละ 30 หลังจากได้รับการดูแลช่วยเหลือจากครูแล้ว เด็กร้อยละ 20 เรียนรู้ดีขึ้น มีร้อยละ10 จำเป็นต้องพบจิตแพทย์ตรวจรักษา ซึ่งทำให้เด็กป่วยเข้าถึงบริการดีขึ้น

 

ที่มา : manager.co.th

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

อาการแบบนี้ หรือลูกจะเป็นเด็ก ไฮเปอร์ฯ

ให้ลูกกินอะไรเมื่อเจ้าหนูเป็นเด็กสมาธิสั้น

5 สัญญาณบอก ลูกเราอาจเป็นออทิสติก

 

บทความโดย

Tulya