theAsianparent Thailand พาลุยอยุธยาไหว้พระ 9 วัด คราวที่แล้วเราพาไป วัดใหญ่ชัยมงคล วันนี้มาต่อกันที่ วัดที่ 4 วัดหน้าพระเมรุ หรือ วัดพระเมรุราชิการามวรวิหาร วัดพระเมรุอยุธยา ตั้งอยู่ที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีชื่อเดิมว่า “วัดพระเมรุราชการาม” เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ในตำนานกล่าวว่า พระองค์อินทร์ในสมเด็จพระรามาธิปดีที่ 2 รัชการที่ 10 แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงสร้างเมื่อ พ.ศ. 2046 ประทานนามว่า “วัดพระเมรุราชิการาม” แต่ประชาชนส่วนมากนิยมเรียกกันว่า “วัดหน้าพระเมรุ”
วัดหน้าพระเมรุเป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ถูกพม่าทำลาย และยังคงสภาพที่ดีมาก มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ ได้ใช้สถานที่แห่งนี้เจรจาสงบศึก เมื่อมี พ.ศ. 2106
และในอีกตอนหนึ่ง เมื่อคราวสมเด็จพระเจ้าอะลองพญามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2303 พม่าได้เอาปืนใหญ่มาตั้งที่วัดเมรุราชิการาม กับวัดหัสดาวาส (วัดช้าง) พระเจ้าอะลองพญาทรงบัญชาการและทรงจุดปืนใหญ่เอง ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ได้แตกต้องพระองค์บาดเจ็บสาหัสประชวนหนักในวันนั้น พอรุ่งขึ้นพม่าเลิกทัพกลับไปทางเหนือ แต่ยังไม่พ้นแดนเมืองตาก พระเจ้าอะลองพญาก็สิ้นพระชนม์ระหว่างทาง
ด้วยบุญญาธิการอันศักดิ์สิทธ์ แห่งหลวงพ่อพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ พระประธานในอุโบสถ จึงทำให้กรุงศรีอยุธยารอดพ้นจากข้าศึกตลอดมา สมควรที่ประชาชนชาวไทยทั้งหลายมานมัสการ ชมพระบารมีซึ่งยังมีพระลักษณะคงสภาพเดิมอยู่ทุกส่วน ซึ่งเป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกพม่าทำลายในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ด้วยเหตุนี้เอง วัดหน้าพระเมรุ จึงมีความสมบูรณ์ที่สุดเมื่อเทียบกับวัดอื่นๆในอยุธยา เมื่อครั้งเสียกรุงได้ถูกกองทัพพม่าเผาทำลายเหลือซากให้เราเห็น แต่วัดหน้าพระเมรุ ยังคงใว้ซึ่งความสง่างามจนปัจจุบัน
จุดเด่นของวัด และประติมากรรมสำคัญ
- พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ
- พระพุทธรูปศิลาแบบนั่งห้อยพระบาทสมัยทวาราวดี
- จิตรกรรมฝาผนังวัดหน้าพระเมรุราชิการาม
1.พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ
พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ นิยมเรียกย่อว่า “พระพุทธนิมิต” พระประธานในพระอุโบสถหล่อด้วยทองสำริดลงรักปิดทองปางมารวิชัย ทรงเครื่องพระมหากษัตริย์ หน้าตักกว้าง 9 ศอกเศษ สูง 6 เมตรเศษ
เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ที่สุดองค์หนึ่ง มีพระลักษณะงดงาม พระนามบ่งชัดถึงพระลักษณะอันพิเศษ มีพระภินิหารเป็นสรณะที่พึ่ง ที่เคารพสักการะอย่างยิ่งแก่โลกทั้ง 3 เกิดปิติศรัทธาแก่ผู้ที่ได้เข้านมัสการ เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้าน คู่เมือง และคุ้มครองบ้าน คุ้มครองเมือง
ทำให้ข้าศึกเกิความเกรงกลัวไม่ทำลายวัดนี้ได้ เป็นที่น่าอัศจรรย์ ควรแก่การที่จะมานมัสการอย่างใกล้ชิดทีเดียว สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
บทความที่เกี่ยวข้อง : 15 ที่พักอยุธยา ชมประวัติศาสตร์ไทย บรรยากาศดี วิวสวยจนไม่อยากกลับ
2.พระพุทธรูปศิลาแบบนั่งห้อยพระบาทสมัยทวาราวดี
พระคันธารราฐ เป็นพระพุทธรูปสมัยทวาราวดี ประดิษฐ์สถานอยู่ในพระวิหารสรรเพชญ์ เป็นพระพุทธรูปเนื้อศิลาเขียวแกะสลัก ประทับนั่งห้อยพระบาท ประทับบัลลังก์ ปางปฐมเทศนา หน้าตักกว้าง 1.70 เมตร สูง 520 เมตร
เป็นพระพุทธรูปศิลาที่ใหญ่ที่สุด มีลักษณะที่งดงามองค์หนึ่งในโลก อายุประมาณ 1,500 ปี ในศิลาจารึก พระยาไชยวิชิตได้ย้ายมาจากวัดมหาธาตุ ในเกาะเมืองอยุธยา และว่ามาจากประเทศลังกา เมื่อคราวที่พระอุบาลีเป็นสมณฑูต พร้อมด้วยพระสงฆ์สยามวงศ์ นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐ์ฐานในประเทศลังกา
3.จิตรกรรมฝาผนังวัดหน้าพระเมรุราชิการาม วัดพระเมรุอยุธยา
ภาพจิตรกรรมภายในวัดหน้าพระเมรุราชิการาม เดิมเคยมีปรากฎที่ฝาผนังพระอุโบสถและพระวิหาร ปัจจุบันได้ลบเลือนไปแล้ว แต่ยังคงเหลือให้ศึกษาได้ที่พระวิหารพระสรรเพชญ์
ภาพจิตรกรรมในพระวิหารส่วนใหญ่ได้เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา จึงไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นภาพที่เขียนขึ้นเกี่ยวเนื่องกับเรื่องใด หากแต่ภาพส่วนที่เหลืออยู่นี้ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงสภาพสังคม และวัฒนธรรมสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งประกอบไปด้วย ภาพวิถีชีวิตของชาวบ้าน การแต่งกาย ตลอดจนถึงรูปแบบการตั้งขบวนทัพ และภาพขบวนฟ้อนรำต่างๆ
รูปแบบของงานจิตรกรรมฝาผนังภายในพระวิหารพระสรรเพชญ์ เป็นงานจิตรกรรมที่เขียนขึ้นประมาณรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ระหว่าง พ.ศ. 2394 ถึง พ.ศ. 2411
ประวัติ
วัดหน้าพระเมรุ ที่ตั้งของวัดนี้ เดิมเป็นสถานที่สำหรับสร้างพระเมรุ ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ พระองค์ใด พระองค์หนึ่ง สมัยอยุธยาตอนต้น ต่อมาได้สร้างวัดขึ้น มีตำนานเล่าว่าพระองค์อินทร์ ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงสร้างวัดนี้ เมื่อ พ.ศ. 2046 วัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อครั้งทำศึกกับพระเจ้าบุเรงนอง ได้มีการทำสัญญาสงบศึกเมื่อ พ.ศ. 2106 ได้สร้างพลับพลาที่ประทับขึ้น ระหว่างวัดหน้าพระเมรุ กับวัดหัสดาวาส
วัดนี้ เป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยา ที่ไม่ได้ถูกพม่าทำลาย และยังคงปรากฏสถาปัตยกรรม แบบอยุธยาอยู่ในสภาพสมบูรณ์มากที่สุด ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระอุโบสถมีขนาดยาว 50 เมตร กว้าง 16 เมตร เป็นแบบอยุธยาตอนต้น ซึ่งมีเสาอยู่ภายใน ต่อมาสร้างขยายออก โดยเพิ่มเสารับชายคาภายนอก ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หน้าบันเป็นไม่สักแกะสลักเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑเหยียบเศียรนาคและมีรูปราหูสองข้างติดกับเศียรนาค หน้าต่างเจาะเป็นช่องยาวตามแนวตั้ง เสาเหลี่ยมสองแถว ๆ ละแปดต้น มีบัวหัวเสาเป็นบัวโถแบบอยุธยา
ด้านบนประดับด้วยดาวเพดานเป็นงานจำหลักไม้ลงรักปิดทอง ส่วนลาย แกะสลักบานประตูพระวิหารน้อย เป็นลายแกะสลักด้วยไม้สักหนา แกะสลักจากพื้นไม้ ไม่มีการนำชิ้นส่วนที่อื่นมาติดต่อ เป็นลายซ้อนกันหลายชั้น
พระประธานในอุโบสถ สร้างปลายสมัยอยุธยา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทรงเครื่องแบบกษัตราธิราช มีนามว่า “พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ” จัดเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง สมัยอยุธยา ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และมีความสมบูรณ์งดงามมาก สูงประมาณ 6 เมตร หน้าตักกว้างประมาณ 4.40 เมตร
ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการปฏิสังขรณ์วัดนี้ โดยรักษาแบบอย่างเดิมไว้ และได้เชิญพระพุทธรูปศิลาสีเขียว หรือคันธราชประทับนั่งห้อยพระบาท สมัยทวาราวดี จากวัดมหาธาตุ มาไว้ในวิหารสรรเพชญ์ (หรือเรียกว่า วิหารน้อยเพราะขนาดวิหารเล็ก มีความยาว 16 เมตร กว้างประมาณ 6 เมตร) ซึ่งอยู่ข้างพระอุโบสถ พระพุทธรูปศิลาแบบนั่งห้อยพระบาทสมัยทวาราวดีนื้ นับเป็น 1 ใน 5 องค์ ที่มีอยู่ในประเทศไทย
ที่มา : autofulltravel.com , thailandtourismdirectory.go.th , papaiwat.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
เปิดซีรีย์พา ทำบุญ 9 วัด ที่อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน (วัดที่ 1 วัดพนัญเชิง)
พาเที่ยวกรุงเก่า ไหว้พระ 9 วัด วัดที่ 2 ที่ วิหารพระมงคลบพิตร อยุธยา
พาเที่ยวอยุธยา ไหว้พระ 9 วัด เสริมมงคลรับปีใหม่ วัดที่ 3 วัดใหญ่ชัยมงคล