แชร์ประสบการณ์ตรง ลูกเข้า NICU เพราะคลอดก่อนกำหนด

คุณแม่แชร์เรื่องนี้ขึ้น เพื่อเป็นกำลังใจให้กับคุณแม่ทุกคนที่ลูกคลอดก่อนกำหนด ทุกอย่างจะผ่านไปได้ถ้าสู้ไปด้วยกัน

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

คุณแม่ Vanida Boonyarataphun หรือคุณแม่แนน เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นท้องได้ 25 สัปดาห์ จู่ ๆ ก็มีอาการปวดท้องและปวดหลังควบคู่กัน คิดว่าที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะทำงานและยืนมาก จึงบอกคุณพ่อและตกลงกันว่า เดี๋ยวจะไปหาหมอกัน แต่อยากให้นอนพักสักครู่ก่อน แต่นอนแล้วอาการก็ไม่ดีขึ้นเลยลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว ในระหว่างนั้นมีเลือดออก จึงรีบพากันไปที่โรงพยาบาลทันที คุณหมอจึงรีบให้ขึ้นขาหยั่งนอนดูทันที ปรากฎว่าเลือดที่ไหลออกมานั้น ออกมาจากช่องคลอด คุณหมอบอกว่า โอกาสในการแท้งสูง จึงให้แอทมิทและนอนให้ยาระงับการคลอด

และให้ยากระตุ้นปอดน้อง 4 เข็มเพราะอายุครรภ์ยังน้อย ระหว่างที่นอนนั้น คุณหมอก็ติดเครื่องฟังการเต้นหัวใจของน้องไปด้วย ในตอนนั้นได้แต่พูดกับลูกว่า "อย่าเป็นอะไรนะลูกคนเก่งของแม่ สู้นะ เราจะสู้ไปด้วยกันนะ"
 
เลือดยังคงไหลไม่หยุด จนกระทั่งตี 3 คุณหมอมาดูอาการและแจ้งว่า ปากมดลูกเปิดแล้ว 7 เซนติเมตรแล้ว คุณหมอบอกต้องคลอดพร้อมพูดให้กำลังใจว่า "จะอย่างไรก็แล้วแต่ เราจะมาสู้กันต่อข้างนอกนะคุณแม่" ระหว่างที่คลอดใจก็บอกลูกตลอดว่า "อยู่กับแม่นะลูก สู้ ๆ นะลูก แม่รักหนูนะ"  กระทั่งตี 5 น้องก็คลอดออกมาด้วยวิธีธรรมชาติ ตอนที่ได้ยินเสียงร้องของลูกรู้สึกดีใจมาก แต่กลับรู้สึกตกใจเมื่อคุณหมอบอกกับทีมแพทย์ว่า ให้รีบนำเอาน้องเข้าตู้ทันที เพราะปอดของน้องยังทำงานไม่สมบูรณ์ ต้องให้ออกออกซิเจนด่วน!
 
 
"น้องเจ้าคุณ" คลอดออกมาด้วยน้ำหนักตัวเพียง 810 กรัม แม้แต่พยาบาลยังบอกให้เผื่อใจ ตอนนั้นกว่าจะไปเยี่ยมน้องได้ก็ 11 โมงแล้ว ภาพแรกที่เห็นคือ สายอะไรก็ไม่รู้ติดเต็มตัวน้องไปหมด รู้สึกสงสารลูก พูดได้อย่างเดียวคือ ลูกสู้ ๆ แม่รักหนูมากนะครับ" แล้วก็เดินกลับมาที่ห้องพักฟื้นและกอดกับคุณพ่อร้องไห้ และต่างก็ปรึกษากันเรื่องค่าใช้จ่าย เนื่องจากโรงพยาบาลที่น้องคลอดนั้นเป็นโรงพยาบาลเอกชนและมีราคาแพง จึงปรึกษาคุณหมอเพื่อขอย้ายโรงพยาบาล เมื่อติดต่อไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ผลปรากฏว่า เต็มกันหมด ไม่มีตู้อบว่างเลย เพื่อนของพี่จึงแนะนำโรงพยาบาลเลิดสินให้
 
เหมือนโชคเข้าข้าง คุณหมอยอมรับเคสพอดี แต่ทั้งคุณหมอและพยาบาลต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า น้องตัวเล็กมาก คุณแม่ต้องเผื่อใจไว้บ้าง น้ำหนักของน้องลดลงเหลือเพียง 750 กรัม เพราะทานนมไม่ได้เลย ตอนนั้นได้แต่เกาะกระจกพูดกับลูกว่า "สู้ ๆ นะลูก เรามาสู้ไปด้วยกันนะ" ซึ่งในระหว่างที่อยู่ในห้อง NICU นั้นก็ได้มีโอกาสเจอกับคุณแม่ท่านหนึ่งที่ลูกก็คลอดก่อนกำหนดและอยู่ในห้องนี้เช่นกัน คุณแม่ท่านนี้แนะนำว่า "นมแม่ช่วยได้ ให้คอยขยันปั๊มนมแม่มา แล้วให้พยาบาลคอยป้อนให้"
 
 
จึงทำตามที่คุณแม่ท่านนั้นบอก หลังจากที่น้องทานนมแม่เข้าไป น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นเป็น 780 กรัม ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ น้องต้องเจาะปอด เนื่องจากปอดฉีกจากการให้ออกซิเจน ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น น้องน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 กรัมแล้ว รอบศีรษะโตเร็ว จนคุณหมอต้องเฝ้าระวังเพราะกลัวจะเป็นโรคศีรษะโต ตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ ที่รอผลการตรวจนั้น ก็เอาแต่พูดกับลูกว่า "สู้ ๆ นะลูก แม่รักหนูนะ"
 
โชคดีที่ผลตรวจออกมาปกติ จนวันเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนครึ่ง น้องเริ่มมีอาการท้องอืด และบวม คุณหมอจึงให้คุณหมออีกท่านที่เป็นคุณหมอเฉพาะทางเรื่องลำไส้ตรวจ แต่ครั้งนี้จะต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลเด็ก ผลออกมาคือ น้องมีภาวะไส้เลื่อนด้านซ้ายหนึ่งข้าง คุณหมอยังไม่สามารถผ่าตัดให้ได้เนื่องจากน้องตัวเล็กเกินไป จึงทำได้แค่เพียงให้ยารักษาตามอาการ ... ในตอนนั้นน้องนอนรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเด็กได้สี่วัน ก็อาการดีขึ้น จึงสามารถกลับมาอยู่โรงพยาบาลเดิมได้
 
 
อาการของน้องดีขึ้นเรื่อย ๆ น้ำหนักขยับเพิ่มขึ้นเป็น 1,800 กรัม คุณหมอเริ่มเอาท่อออกซิเจนออก เพื่อให้น้องเริ่มหัดหายใจเองแล้ว น้ำหนักของน้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนมีน้ำหนัก 2,200 กรัม คุณหมอก็ต้องให้ทำเลเซอร์ตา เพราะถ้าหากทำช้ากว่านั้น ก็อาจทำให้ตาบอดได้ หลังจากที่ทำเสร็จพยาบาลก็เอาน้องมาให้อุ้ม ณ ตอนนั้นน้องยังคงหลับอยู่เพราะฤทธิ์ยาสลบ
 
พอน้องเริ่มขยับร้อง คุณแม่จึงเอานมให้น้องทาน พอทานได้สักพัก เครื่องที่จับชีพจรก็ค่าตก ชีพจรของน้องค่อย ๆ ลดต่ำลง ตัวเริ่มซีด พยาบาลวิ่งกันวุ่น รีบปั๊มหัวใจน้อง ปลุกน้องให้ตื่น และนำตัวน้องเข้าตู้อบทันที ... ตอนนั้นน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ปากก็พูดกับลูกว่า "ตื่นนะลูก อย่าเป็นอะไรไปนะ อยู่กับแม่นะ" ในที่สุดชีพจรน้องก็กลับมาเต้นตามปกติ
 
คลิกอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่หน้าถัดไปค่ะ

สุดท้ายวันที่รอคอยก็มาถึง เมื่อคุณหมออนุญาตให้นำน้องกลับบ้านได้ ตอนนั้นน้องมีน้ำหนักตัว 2,550 กรัม แล้ว แต่ทว่าภาวะไส้เลื่อนก็ยังคงอยู่ คุณแม่และคุณพ่อจึงพาลูกไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลเด็กต่อ น้ำหนักน้องในตอนนั้น 2,750 กรัม คุณหมอบอกว่า น้องจะต้องผ่าตัดทั้งสองข้าง แต่น้องตัวเล็ก จึงต้องให้อยู่โรงพยาบาล 2-3 วันเพื่อเฝ้าดูอาการจนครบตามจำนวนที่คุณหมอต้องการเพื่อให้มั่นใจว่า น้องจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ คุณหมอถึงอนุญาตให้พาน้องกลับบ้านได้
 
หลังจากนั้นมา น้องก็ไม่มีอาการป่วยอีกเลย ไปฉีดวัคซีนก็ไม่เคยร้อง ผ่านมาแล้ว 2 ปี คุณแม่ยังคงจำเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี จึงอยากขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกท่านที่คลอดก่อนกำหนด และลูกต้องเฝ้ารักษาตัวอยู่ในห้อง NICU ว่า "สู้และเข้มแข็งนะคะ ลูกตัวเล็กนิดเดียวเขายังสู้ เราเป็นแม่เราก็ต้องสู้ไปกับเขาด้วย ที่สำคัญในระหว่างที่ลูกอยู่ในห้อง NICU นั้น นมแม่ช่วยได้เยอะมากจริง ๆ และขออย่าได้กังวลใจไป รับประกันได้เลยว่า เด็กตู้นั้นซนปกติเหมือนเด็กทั่วไปแน่นอน"
 
 
และนี่คือภาพของน้องเจ้าคุณ ณ ปัจจุบันค่ะ ช่างเป็นเด็กที่สดใสจริง ๆ เลย เห็นด้วยไหมคะ
 
คุณแม่รู้ไหม นมแม่มีประโยชน์ต่อทารกคลอดก่อนกำหนดอย่างไร?

พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ กล่าวว่า นมของแม่ทารกที่คลอดก่อนกำหนด มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมาะสำหรับลูกมากที่สุด พบว่า ทารกคลอดก่อนกำหนดที่ได้รับนมแม่อย่างเดียว มีการเจริญเติบโตที่ปกติ พบภาวะลำไส้เน่าและโรคปอดเรื้อรังน้อยกว่า ระดับสติปัญญาสูงกว่าโดยแปรผันตามเวลาที่ได้กินนมแม่ว่านานเพียงใด ได้ออกจากตู้อบและโรงพยาบาลเร็ว ดังนั้น หากคุณแม่เป็นคนหนึ่งที่ลูกคลอดก่อนกำหนด อย่าลืมให้ลูกดื่มนมแม่กันนะคะ

ที่มา: คุณแม่ Vanida Boonyarataphun

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

ดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดอย่างไร?

เรื่องที่พ่อแม่ควรรู้ เมื่อลูกต้องเข้า NICU

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 
Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความโดย

Muninth