ทารกตัวเหลืองจากท่อน้ำดีอุดตัน
ทารกตัวเหลืองโดยทั่วไปเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ
ทารกตัวเหลืองจากการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง: จะมีปริมาณบิลิรูบินมากขึ้นจากการแตกของเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่หมู่เลือดของแม่และลูกเข้ากันไม่ได้ เม็ดเลือดแดงของลูกจึงถูกทำลาย ทำให้ระดับของบิลิรูบินในเลือดเพิ่มสูงเกินระดับปกติ
ทารกตัวเหลืองจากนมแม่ : จะพบในเด็กที่ทานนมแม่โดยจะพบว่ามีสารบิลิรูบินสูงขึ้นแต่จะค่อย ๆ ลดระดับลงเองเมื่อลูกอายุได้ประมาณ 2 สัปดาห์ หากลูกตัวเหลืองจากนมแม่นี้ไม่น่ากังวล เพราะทารกจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตามปกติ เม็ดเลือดแดงก็ไม่ได้แตกเยอะไปกว่าทารกปกติ และตับก็ยังทำงานเป็นปกติ
นายแพทย์คณิต คูศิริวิเชียร กล่าวถึง ภาวะตัวเหลืองในเด็กทารก มักพบได้ค่อนข้างบ่อย พบได้ถึง 25-50 % ของทารกแรกเกิดภาวะตัวเหลืองนี้เกิดจากสารชื่อ บิลิรูบิน (Bilirubin) ซึ่งเป็นสารที่มีเหลือง ในทารกปกติจะมีปริมาณสารบิลิรูบินในปริมาณที่พอเหมาะ คือ ไม่เกิน 12 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และ ไม่เกิน 15 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ในทารกคลอดก่อนกำหนด สารบิลิรูบินนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการสลายตัวของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ในระหว่างที่ทารกอยู่ในครรภ์ สารบิลิรูบินของทารกส่วนใหญ่จะผ่านทางรกเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตของแม่และถูกกำจัดที่ตับของแม่ แต่เมื่อคลอดออกมาแล้วทารกจะต้องทำการกำจัดบิลิรูบินทางตับของตนเอง
เรื่องน่ารู้…ท่อน้ำดีอุดตันในทารกแรกเกิด
อาการทั่วไป
อาการตัวเหลือง ตาเหลืองที่มีความผิดปกติในทารกแรกเกิด เรียกว่า ท่อน้ำดีตีบตัน ในทารกแรกเกิดพบได้ไม่บ่อยนัก ประมาณ 1 ในหมื่นของทารกที่คลอด ไม่รู้สาเหตุที่แน่นอน โรคนี้จะเกิดขึ้นหลังคลอด ทารกจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง อาจจะตั้งแต่หลังคลอดหรือเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 2-3 เรื่อยมา นอกจากนี้อุจจาระยังมีสีซีดขาว ปัสสาวะสีเข้ม เด็กจะทานนม หรือเจริญเติบโตในระยะแรกเป็นปกติ อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่คิดว่าไม่เป็นอะไรเดี๋ยวก็หายเอง หากมีอาการผิดปกติที่เกิดจากท่อน้ำดีตีบตัน อาการตัวเหลืองจะเพิ่มมากขึ้น สารสีเหลืองบิลิรูบินจะคั่งในตับจำนวนมาก และจะทำลายเซลล์ตับ เกิดภาวะตับแข็ง โดยทั่วไปจะใช้เวลา 4 เดือน เพราะหลังจากนี้หรือเกิน 4 เดือนไปแล้ว ตับของทารกจะถูกทำลายจนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
วิธีการรักษาท่อน้ำดีอุดตันในทารกแรกเกิด
รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรนุช จงศรีสวัสดิ์ กุมารแพทย์ทางเดินอาหารและโรคตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า ท่อน้ำดีตีบตันที่เกิดกับทารกแรกเกิด ซึ่งมักจะพบอาการหลังจาก 2 สัปดาห์ไปแล้ว โดยปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดก่อนอายุ 2 เดือน อาจพัฒนากลายเป็นตับแข็งได้ ซึ่งอันตรายถึงชีวิต เมื่อได้รับการวินิจฉัยจากคุณหมอแล้ว คุณหมอจะรักษาด้วยการผ่าตัดโดยเร็ว เพราะถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดในเวลาอันสมควรตับที่มีท่อน้ำดีคั่งอยู่จะยิ่งอักเสบมากขึ้นทำให้ทารกเป็นตับแข็งได้อย่างรวดเร็ว ในรายที่รุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตภายใน 2 ปีแรกด้วยปัญหาตับแข็ง
อ่านหลังผ่าตัดท่อน้ำดีอุดตันแล้วจะเป็นอย่างไร คลิก
หลังจากได้รับการผ่าตัดท่อน้ำดีอุดตันแล้วจะเป็นอย่างไร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยุทธนา ศตวรรษธำรง อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า หากทารกได้รับการผ่าตัดแล้วค่าของความเหลืองควรลดลงไปใน 1 เดือน และลดลงต่อเนื่องถึง 6 เดือน หลังจากนั้นจะคงที่ หลังผ่าตัดแล้วต้องรักษาโดยการกินยาอย่างต่อเนื่องเพราะยังมีอาการตับแข็ง หลังผ่าตัดปีแรกมักจะติดเชื้อท่อน้ำดีต้องดูแลรักษาอย่างเข้มงวด
หากทารกได้รับการผ่าตัดก่อนอายุ 2 เดือน มีสิทธิ์หายได้ 90 % ผ่าตัดอายุ 2-3 เดือน มีสิทธิ์หายได้ 70 % ถ้าอายุมากกว่า 3 เดือน การผ่าตัดไม่ดี หลังผ่าตัดค่าความเหลืองไม่ลดลงเป็นปกติใน 6 เดือนแสดงว่าการผ่าตัดไม่ได้ผลมักเสียชีวิตใน 5-10 ปี ขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของตับและโรคแทรกซ้อน เพราะอาการตับแข็งจะเป็นมากขึ้น ต้องได้รับการปลูกถ่ายตับ ทารกอายุ 4 เดือนมีอาการตับแข็งมาก มีอาการท้องมานมีน้ำในช่องท้องการผ่าตัดถ้าไม่ช่วยเหลือจะมีแต่ผลเสีย ควรรักษาแบบประคับประคองรอผ่าตัดปลูกถ่ายตับจะดีกว่า ทารกได้รับการผ่าตัดแล้วหายเหลืองแต่ยังมีตับแข็ง 70 % ของเด็กที่เป็นโรคต้องได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายตับในอนาคต
ข้อแนะนำสำหรับทารกแรกคลอดที่ควรสังเกต
หากทารกแรกคลอดมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ควรสังเกตอย่างใกล้ชิด หากพบอาการตัวเหลืองเข้มขึ้นนานเกิน 1 สัปดาห์ และอุจจาระสีเหลืองอ่อนหรือซีดขาว ควรคิดถึงโรคนี้และปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด
อ้างอิงข้อมูลจาก
อาการเหลืองในทารกแรกเกิด, รองศาสตราจารย์สรายุทธ สุภาพรรณชาติ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
ทารกแรกเกิด: ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด, ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
คุณพ่อลดน้ำหนัก 18 กิโลกรัมเพื่อบริจาคตับให้ลูกสาว
สีของอุจจาระของทารกบอกถึงสุขภาพได้อย่างไร