ภาวะครรภ์เป็นพิษ อันตรายมากไหม อาการครรภ์เป็นพิษ ดูแลตัวเองอย่างไร
ลักษณะครรภ์เป็นพิษ ภาวะครรภ์เป็นพิษ มีลักษณะเป็นอย่างไร ครรภ์เป็นพิษอันตรายมากไหม อาการครรภ์เป็นพิษ เป็นอย่างไรบ้าง คนท้องที่มีอาการครรภ์เป็นพิษ ควรดูแลตัวเองอย่างไร เพื่อที่เราจะสามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที
ครรภ์เป็นพิษ ครรภ์มีพิษ ภาวะครรภ์เป็นพิษ คืออะไร ?
ครรภ์เป็นพิษ (preeclampsia) คุณแม่หลาย ๆ คนมักจะเคยได้ยินถึงภาวะอันตรายนี้ แต่ในความเป็นจริง แม้ว่าภาวะครรภ์เป็นพิษจะอันตรายร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม แต่กลับไม่ค่อยแสดงอาการออกมาให้เห็น หรือสังเกตได้ จนกว่าจะรู้ตัวก็อาจสายเกินแก้ไปเสียแล้ว
- ครรภ์เป็นพิษเกิดจากความผิดปกติของการฝังตัวของรก บริเวณผนังมดลูก ทำให้ออกซิเจน และเลือด ไม่สามารถไหลไปหล่อเลี้ยงตัวอ่อนในครรภ์ได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้รกจะทำการหลั่งสารพิษบางอย่างเข้าสู่กระแสเลือดทีละน้อย จนเกิดผลกระทบต่อคุณแม่ และลูกน้อยในครรภ์ จนเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้
- เกิดจากภาวะโปรตีน หรือไข่ขาวรั่วออกมาปะปนอยู่ในปัสสาวะ
- เกิดจากการทำงานของรกมีความผิดปกติ ทำให้เกิดสารบางชนิดที่มีผลอันตรายต่อร่างกาย จนกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัวอย่างรุนแรง จนเกิดภาวะความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท
รกครรภ์ คืออะไรกันนะ?
รก หรือ รกครรภ์ เป็นอวัยวะชนิดหนึ่งที่จะพบได้ในเฉพาะหญิงที่กำลังตั้งครรภ์เท่านั้น โดยอวัยวะส่วนนี้จะทำหน้าที่คอยลำเลียงออกซิเจน และอาหารส่งไปยังทารกในท้อง เพราะฉะนั้น รกครรภ์ จึงถือได้ว่าเป็นอวัยวะที่พิเศษสำหรับคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์
ลักษณะของ อาการครรภ์เป็นพิษ เป็นอย่างไร?
ส่วนใหญ่จะพบเมื่อมีการตั้งครรภ์ได้ 5 – 6 เดือนขึ้นไป จนกระทั่งหลังคลอด 1 สัปดาห์ แม้ว่าอาการครรภ์เป็นพิษจะสังเกตได้ยาก เนื่องจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้น ดูจะเป็นเรื่องปกติของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ทั่วไป แต่หากจะสังเกตแบบลงลึกเจาะจงดี ๆ จะเห็นได้ว่า หากตัวคุณแม่มีอาการต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น ก็สามารถสันนิษฐานว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นภาวะครรภ์เป็นพิษได้ เช่น
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วผิดปกติ ซึ่งโดยปกติน้ำหนักของคุณแม่ตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้นเดือนละ 1.5 – 2 กิโลกรัม โดยเฉลี่ย
- มีอาการบวม โดยเฉพาะบริเวณมือ เท้า หน้า และบริเวณรอบดวงตา
- มีอาการปวดศีรษะมาก แม้ว่าทานยาแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น โดยมีระดับความรุนแรงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย หน้าผาก
- ตัวอ่อนในครรภ์มีอัตราการดิ้นน้อยลง ตัวเล็ก โตช้า ไม่เป็นไปตามเกณฑ์
- ตรวจพบปริมาณโปรตีนในปัสสาวะมากกว่าปกติ
- ความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอท
- ปวดหรือจุกเสียดแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่, บริเวณชายโครงด้านขวา, อาการปวดหลังส่วนล่าง, อาการปวดไหล่ ซึ่งมักจะปวดแบบเฉียบพลัน
- เกิดการระคายเคืองระบบประสาทส่วนกลาง เช่น อาการบวมของสมอง, มีอาการตาพร่ามัว มองเห็นแสงเป็นจุด ๆ หรือเห็นแสงวูบวาบ หรือเห็นไฟกะพริบ
- มีอาการคลื่นไส้อาเจียน หากเกิดอาการดังกล่าวเฉียบพลันหลังจากพ้นช่วงแพ้ท้องไปแล้ว ให้สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากภาวะครรภ์เป็นพิษ
- ปัสสาวะลดลง หรือปัสสาวะไม่ออก
- อาจมีการชัก หรือหมดสติ (อันตรายมาก)
- บางรายมีอาการมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เอนไซม์ตับขึ้นสูง และภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
บทความที่เกี่ยวข้อง : รู้ทันครรภ์เป็นพิษ เรื่องที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม
ใครที่มีความเสี่ยงเป็น ภาวะครรภ์เป็นพิษ?
สำหรับสาเหตุของครรภ์เป็นพิษยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่นัก ระยะเวลาและความรุนแรงของการเกิดโรคก็ไม่มีความแน่นอน ต้องรอให้อาการแสดงก่อนคุณหมอจึงจะวินิจฉัยได้
แต่มีการสันนิษฐานจากหลักฐานที่มีว่า อาการครรภ์เป็นพิษ เกิดจากที่รกสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อเข้าสู่กระแสเลือดของคุณแม่จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง และเกิดเป็นภาวะครรภ์เป็นพิษได้ โดยผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ได้แก่
- ผู้ที่มีกรรมพันธุ์ หรือคนในครอบครัวเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษมาก่อน
- คุณแม่ตั้งครรภ์ในขณะอายุที่น้อยกว่า 20 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
- ผู้ที่มีโรคอ้วน เส้นเลือดไม่ค่อยดี ซึ่งโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นหลอดเลือดตีบได้ง่าย
- ผู้ที่มีบุตรยาก
- ผู้ที่ตั้งครรภ์แฝด หรือตั้งครรภ์เด็กมากกว่า 1 คน
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรก
- ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก คือ อาการที่เนื้อเยื่อรกมีมากผิดปกติ ทำให้มีอาการท้องโตเหมือนคนท้องแต่ไม่มีเด็ก เมื่อมีการลอกตัวออกมา จะมีเลือดออกทางช่องคลอดมีก้อนเล็ก ๆ คล้ายไข่ปลา
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไทรอยด์ แพ้ภูมิตนเอง(SLE) ฯลฯ
ภาวะครรภ์เป็นพิษ น่ากลัวแค่ไหน
ระดับความรุนแรงของครรภ์เป็นพิษ มีความรุนแรงหลายระดับโดยเริ่มตั้งแต่
- ครรภ์เป็นพิษระดับที่ไม่รุนแรง (Non – Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อน
- ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 หรือตรวจพบความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานลดลง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก ฯลฯ
- ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรงและมีภาวะชัก (Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีอาการชัก เกร็ง หมดสติ อาจมีเลือดออกในสมอง ซึ่งหากอยู่ในระยะนี้ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
อาการครรภ์เป็นพิษ กระทบต่อลูกในท้องอย่างไร
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคลมชัก
- เกิดน้ำในปอด
- เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
- มีเลือดออกจากตับ
- สูญเสียการมองเห็น
- ทารกในครรภ์เติบโตช้า
- น้ำคร่ำน้อย ทำให้ทารกเติบโตผิดปกติ
- ทารกคลอดก่อนกำหนด
- มีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
- ทารกเสียชีวิตในครรภ์
คนที่มีอาการครรภ์เป็นพิษควรทำอย่างไร
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- อย่าปล่อยให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจนมากเกินไป (ตามเกณฑ์ขึ้นเดือนละไม่เกิน 2 กิโลกรัม)
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่เค็มจัด
- พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
- ไม่ควรทำอะไรที่เหนื่อยจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงการดื่มชา หรือกาแฟ
- พยายามยกขาสูงเมื่อมีโอกาสเช่น ขณะนั่ง นอน
- งดมีเพศสัมพันธ์ เพราะในระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์อาจทำให้หัวใจเต้นสูง เกิดเป็นความดันสูงได้
อาการแบบไหนที่ควรมาพบแพทย์ด่วน
ในกรณีที่คุณแม่ได้รับการวินิจฉัยจากคุณหมอแล้วว่ามีอาการครรภ์เป็นพิษ คุณแม่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด และคอยสังเกตอาการตัวเองอย่างต่อเนื่อง หากพบว่าตัวเองมีอาการเหล่านี้ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน
- มีความดันโลหิตที่สูงกว่าหรือเท่ากับ 160/110
- ลูกดิ้นน้อยกว่าวันละ 10 ครั้ง
- มีอาการน้ำเดิน หรือมีน้ำไหลออกจากช่องคลอด
- มีอาการปวดหัวรุนแรง ตาพร่ามัว พร้อมกับจุกแน่นที่ลิ้นปี่
บทความที่เกี่ยวข้อง : ฟีเจอร์นับลูกดิ้น ที่คุณแม่ท้องไม่ควรพลาด จาก แอปพลิเคชัน theAsianparent
การวินิจฉัยของโรคครรภ์เป็นพิษ
การวินิจฉัยของภาวะครรภ์เป็นพิษ แพทย์จะต้องตรวจความดันโลหิตก่อน เพราะภาวะความดันโลหิตสูงควบคู่กับอาการผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งหลังจากที่อายุครรภ์ 20 สัปดาห์เป็นต้นไป ด้วยวิธีการตรวจต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
-
การตรวจสุขภาพทั่วไป
เป็นการที่ซักประวัติทางการแพทย์ทั่วไปของผู้ป่วยเอง และครอบครัว ตรวจดูอาการผิดปกติเบื้องต้นก่อน เช่น มีปัญหาทางด้านสายตาหรือไม่ ปวดศีรษะอย่างต่อเนื่อง มีอาการที่ที่บ่งบอกว่าไตทำงานผิดปกติ โดยที่ภาวะของครรภ์เป็นพิษมักจะมีการตรวจพบได้ในขณะที่แพทย์นัดตรวจครรภ์ปกติ
-
การตรวจวัดระดับของความดันโลหิต
การที่ตรวจวัดความดันโลหิตจะทำให้ทราบว่าผู้ป่วยเข้าข่ายภาวะครรภ์เป็นพิษอยู่หรือไม่ โดยที่แพทย์อาจจะตรวจวัดอยู่หลายรอบ ซึ่งในแต่ละครั้งจะต้องทิ้งระยะห่างกันอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง หากวัดความดันโลหิตได้ตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ก็อาจจะมีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าผู้ป่วยจะมีภาวะครรภ์เป็นพิษ
-
การตรวจเลือด
จะช่วยให้แพทย์ทราบถึงการทำงานของตับ และไต
-
การตรวจปัสสาวะ
เป็นการตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาโปรตีนและไข่ขาวในปัสสาวะ โดยที่ใช้แถบการตรวจปัสสาวะแบบจุ่มลงไปในปัสสาวะเพื่อทำการเทียบสี หากตรวจพบว่ามีโปรตีนในปัสสาวะ แพทย์จะทำการส่งตัวอย่างของปัสสาวะไปตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อที่จะทำการยืนยันผลอีกครั้ง
-
การตรวจสุขภาพของทารก
ตรวจสุขภาพของทารกที่อยู่ในครรภ์ โดยที่ดูอัตราการเต้นของหัวใจเมื่อทารกมีการเคลื่อนไหวหรือว่าดิ้นนั้นเอง ในบางกรณีอาจจะประเมินความสมบูรณ์ของทารกด้วยการอัลตราซาวนด์ดูปริมาณของน้ำคร่ำร่วมกับการหายใจ การขยับของกล้ามเนื้อ หรือการเคลื่อนไหวของทารกที่อยู่ภายในท้องของแม่ ๆ
บทความที่เกี่ยวข้อง : เสริมแคลเซียมของแม่ท้อง แหล่งแคลเซียมสำหรับคนท้อง เสริมแม่ท้อง!
การรักษาของภาวะครรภ์เป็นพิษ
ภาวะของครรภ์เป็นพิษจะรักษาหายได้ก็ต่อเมื่อคลอดลูกออกมาเท่านั้น โดยที่อาการป่วยต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ลดหายไปเองหลังจากที่คลอดลูกออกมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามแพทย์จะต้องพิจารณาในหลาย ๆ ปัจจัยก่อนที่จะทำคลอดด้วย เช่น ระยะเวลาของการตั้งครรภ์ สุขภาพของตัวคุณแม่ หรือความรุนแรงของอาการ
หากว่าคุณแม่มีอายุครรภ์น้อยแพทย์ก็อาจจะยังทำคลอดไม่ได้ในทันที จึงต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิด และประคับประคองอาการจนกว่าใกล้ถึงระยะเวลาที่พร้อมจะคลอดได้อย่างที่ปลอดภัย แต่ว่าถ้าหากมีอายุครรภ์ที่ 37 สัปดาห์ขึ้นไป แพทย์จะแนะนำให้เร่งคลอดหรือผ่าคลอด เพื่อที่จะไม่ใช้ผู้ป่วยมีอาการที่แย่ลง และลดความเสี่ยงกับภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อีกด้วย
หากแม่ท้องที่เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ เป้าหมายที่จะรักษาต้องคำนึงถึง 3 สิ่งต่อไปนี้คือ
-
การคลอด
ซึ่งอาจต้องพิจารณาถึงอายุครรภ์ร่วมด้วย ในกรณีที่ครรภ์เป็นพิษนั้นอยู่ในขั้นรุนแรง จำเป็นต้องพิจารณาให้คลอด ไม่ว่าอายุครรภ์จะมากน้อยเพียงใด ครบกำหนดหรือไม่ เพื่อรักษาชีวิตของมารดาเป็นสำคัญ สำหรับทารกที่อายุครรภ์ไม่ครบกำหนด อาจต้องมีการใช้ยาช่วยในการพัฒนาของปอดเพื่อให้ทารกสามารถหายใจได้เอง โดยพิจารณาเป็นราย ๆ
-
การให้ยาป้องกันการชัก
ภาวะชักเนื่องจากครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะที่รุนแรง สามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ดังนั้นจึงต้องมีการให้ยากันชักในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง (แต่ผลที่ได้จากการรับยา แมกนีเซียมซัลเฟต อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกร้อนวูบวาบ, คลื่นไส้อาเจียน, ความดันโลหิตลดต่ำลง จึงจำเป็นต้องมีการวัดสัญญาณชีพผู้ป่วยเป็นระยะ ๆ หลังจากที่ให้ยาตัวนี้กับผู้ป่วย สำหรับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตที่สูงมากก็อาจจำเป็นต้องพิจารณาให้ยาลดความดันโลหิตแก่ผู้ป่วย ซึ่งมีทั้งที่ให้ทางหลอดเลือดหรือการรับประทาน)
-
การให้ยาลดความดันโลหิต
สตรีมีครรภ์ที่พบว่ามีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษจะต้องได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยการตรวจความดันโลหิต ตรวจปัสสาวะ และตรวจอัลตราซาวนด์อย่างสม่ำเสมอ และในบางกรณีอาจต้องมีการใช้ยาช่วยลดความดันโลหิต เพื่อให้การตั้งครรภ์มีความปลอดภัยนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม่ตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงและได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องร่วมกับขั้นตอนปฏิบัติที่ถูกวิธีสามารถป้องกันไม่ให้โรคนี้มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มารดาและทารกมีความปลอดภัยและสุขภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้การสามารถยืนยันได้ว่าสตรีมีครรภ์รายใดไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ จะช่วยให้แม่ท้องลดความกังวลใจ และตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้
ป้องกันครรภ์เป็นพิษ
การฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้แพทย์ตรวจคัดกรอง ค้นหาความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ได้จากการตรวจและซักถามอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น
- มีการซักประวัติของผู้ป่วยว่าตั้งครรภ์มาแล้วกี่ครั้ง
- เคยมีภาวะครรภ์เป็นพิษในท้องก่อนหรือไม่
- มีโรคประจำตัวใดบ้าง
- มีการชั่งน้ำหนัก
- วัดความดันโลหิต
- ตรวจปัสสาวะเพื่อหาน้ำตาล และโปรตีนว่ามีรั่วออกมาหรือไม่
- รวมถึงมีการตรวจวินิจฉัยทารกโดยวิธีอัลตราซาวนด์ เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของทารก และทำการตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ได้โดยการตรวจติดตามอัตราการเต้นของหัวใจทารก พร้อมกับตรวจการหดรัดตัวของมดลูก
เมื่อพบความผิดปกติที่มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ แพทย์ก็จะได้ดำเนินการรักษา ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการสูญเสียหรือทุพพลภาพของมารดาและทารกได้
บทความที่เกี่ยวข้อง : ฝากครรภ์ราคา เท่าไหร่ ต้องจ่ายอะไร ยังไงบ้าง 100 สิ่งแม่ท้องต้องรู้ ตอนที่ 37
ครรภ์แฝดน้ำ คืออะไร อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่คุณแม่ต้องระวัง
ปัจจัยเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่ควรใส่ใจ และเฝ้าระวังมาก ๆ ส่วนใครที่ยังไม่รู้ว่าสาเหตุเหล่านี้เกิดจากอะไร หรือมีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลทำให้เราต้องเกิดอาการเหล่านี้ มาดูกัน
ครรภ์แฝดน้ำ เรียกได้ว่าเป็นความผิดปกติชนิดหนึ่งที่เกิดในช่วงของการตั้งครรภ์ โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้ อาจเนื่องมาจากที่คุณแม่มีปริมาณน้ำคร่ำในท้องมากจนเกินไป ซึ่งหากเราไม่รีบทำการรักษา หรือปล่อยไว้นานจนเกินไป สิ่งนี้อาจจะทำให้เป็นอันตรายต่อลูกในท้องและคลอดก่อนกำหนดได้เลย ซึ่งอาการเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะพบในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 4 – 5 เดือนนั่นเอง โดยอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
1. สาเหตุมาจากทารกในครรภ์
คุณแม่คนไหนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ นั่นอาจกำลังบ่งบอกเราว่าลูกในท้องของเรามีอาการผิดปกติ เพราะฉะนั้นเราควรรีบทำการรักษาและขอคำแนะนำจากคุณหมอให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นลูกในท้องอาจเกิดมาเป็นเด็กพิการ ได้ง่าย ๆ
2. สาเหตุมาจากคุณแม่
อีกหนึ่งสาเหตุที่จะทำให้อาการเหล่านี้ได้ อาจเป็นเพราะว่าคุณแม่บางคนมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจนเกินไป เพราะเมื่อไหร่ที่เราระดับน้ำตาลในเลือดสูง สิ่งนี้ก็จะส่งผลทำให้เราปัสสาวะบ่อย ที่สำคัญยังเสี่ยงต่อการเป็นภาวะครรภ์แฝดน้ำได้เช่นกัน
3. สาเหตุมาจากรกในครรภ์
ปัจจัยอีกหนึ่งอย่างที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างมาก นั่นคือรกในครรภ์ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ภาวะครรภ์แฝดน้ำ เกิดจากรกในครรภ์ สิ่งนี้ก็จะส่งผลทำให้เกิดน้ำคร่ำในปริมาณที่มาก อีกทั้งยังทำให้เกิดเนื้องอกในรกได้ด้วย เพราะฉะนั้นคุณแม่ต้องระวัง
หลังจากที่เราได้พาคุณแม่มาทำความรู้จักกับครรภ์เป็นพิษ และครรภ์แฝดน้ำ กันแล้ว เชื่อว่าหลายคนอาจจะเข้าใจแล้วว่าสาเหตุที่ทำให้เรามีอาการเหล่านี้เกิดจากอะไรบ้าง ดังนั้นถ้าคุณแม่อยากให้ลูกในท้องของเราเติบโตมาเป็นเด็กที่แข็งแรงสมบูรณ์ การฝากครรภ์ ติดตามผลการเจริญเติบโต การนับอัตราการดิ้น รวมถึงการศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ โดยละเอียด จะทำให้คุณแม่ สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ได้โดยง่าย และยังทำให้สุขภาพของตัวคุณแม่ และลูกน้อยแข็งแรงสมบูรณ์อีกด้วย
อ่านประสบการณ์จริงของคุณแม่เกี่ยวกับอาการครรภ์เป็นพิษ
อาการครรภ์เป็นพิษ ตามใจปากช่วงท้องต้องระวัง ครรภ์เป็นพิษ ครรภ์เป็นพิษเกิดจากสาเหตุใด
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
อาหารต้านหวัดคนท้อง เมนูอาหารต้านหวัด แก้ไอ เสริมสร้างภูมิต้านทานคนท้อง
คนท้องดื่มน้ำกี่ลิตร คนท้องกินน้ำเย็นดีไหม คนท้องกินน้ำมากเป็นไรไหม แม่ท้องต้องกินน้ำกี่แก้วต่อวัน
ท้องแล้วไม่อยากกินข้าว เบื่ออาหาร มีวิธีแก้ไหม คนท้องควรทำอย่างไร
ที่มา : thaihealth, haamor, paolohospital