วัคซีน BCG ป้องกันวัณโรคได้จริงหรือ การดูแลแผลหลังฉีดวัคซีน ทำอย่างไร

lead image

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

วัคซีน BCG คือวัคซีนที่ป้องกันวัณโรค แล้วถ้าหากเป็นวัณโรคขึ้นมาจะหายเป็นปกติได้หรือไม่ เราไปดูกันค่ะ ว่าวัคซีน BCG สามารถฉีดได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีประสิทธิภาพในการป้องกันมากแค่ไหนกัน

 

ฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรคได้จริงหรือ

วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่รู้จักกันในนามของ “เชื้อทีบี” เมื่อร่างกายได้รับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย เชื้อส่วนใหญ่จะถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีเพียงส่วนน้อยที่จะหลบซ่อนอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ และอยู่ในภาวะสงบโดยไม่ก่อให้เกิดโรค แต่ถ้าร่างกายอ่อนแอลง เชื้อที่ซ่อนตัวอยู่จะทำให้เกิดโรค

ซึ่งวัคซีนป้องกันวัณโรค BCG vaccine หรือ Bacillus Calmette Guerin vaccine เป็นวัคซีนป้องกันวัณโรค ที่เป็นการทำให้เชื้อโรคอ่อนแรงลง กลไกการทำงานของวัคซีนคือเชื้อที่ฤทธิ์อ่อนลงจะเข้าไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้สามารถรับมือกับเชื้อวัณโรคได้ โดยกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้วัคซีน BCG เป็นวัคซีนที่เด็กไทยทุกคนต้องได้รับตั้งแต่แรกเกิด

บทความที่เกี่ยวข้อง : ฉีดวัคซีนเด็ก ต้องฉีดอะไรบ้างที่สำคัญต่อทารกแรกเกิด เพื่อภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด

 

วิดีโอจาก : Dr.Panthita Phuket Pediatrician

 

วัคซีน BCG ควรฉีดเมื่อไร

BCG จัดเป็นวัคซีนพื้นฐานที่ต้องฉีดให้เด็กแรกเกิดทุกคน เมื่อฉีดแล้วภูมิคุ้มกันจะเกิดหลังจากฉีดไป ภายในสัปดาห์ที่ 2 หลังฉีดจะมีตุ่มนูนเกิดขึ้นและแตกออกเป็นแผลเล็กๆ อยู่ประมาณ 6 สัปดาห์ ก็จะหายไปเหลือแต่รอยแผลเป็นขนาดเล็ก ซึ่งวัคซีนชนิดนี้สามารถป้องกันวัณโรคได้ประมาณ 80% และยังช่วยลดความเสี่ยงโรควัณโรคที่เยื่อหุ้มสมองในเด็กได้ด้วย

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

การดูแลแผลหลังฉีดวัคซีน 

ทารกทุกคนขณะอยู่โรงพยาบาลจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค ที่ต้นแขนซ้าย ประมาณ 4-6 สัปดาห์จะมีตุ่มหนองขึ้น มีวิธีดูแล ดังนี้

  • ห้ามบ่งหนอง ห้ามใส่ยา หรือโรยยาใด ๆ ลงในแผล
  • ให้รักษาความสะอาด โดยใช้สำลีที่สะอาด ชุบน้ำต้มสุกเช็ดรอบ ๆ แผล (ห้ามเช็ดแผล)
  • ตุ่มหนองจะแตกเอง จะเป็น ๆ หาย ๆ อยู่ประมาณ 1 สัปดาห์และจะแห้งกลายเป็นแผลเป็นไปเอง
  • แต่ถ้าสังเกตว่าแผลนั้นเป็นหนองมาก หรือต่อมน้ำเหลืองข้างหูโตต้องรีบพาบุตรพบแพทย์โดยเร็ว

 

หากลูกเป็นจะสังเกตอาการจากอะไร 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

อาการวัณโรคแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะแฝง (Latent TB) และระยะแสดงอาการ (Active TB) โดยในระยะแรกจะสังเกตได้ยากเพราะอาการจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ อาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ไปจนถึงหลายปีกว่าจะแสดงอาการให้เห็น

 

  • ระยะแฝง (Latent TB)

เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้วจะยังไม่แสดงอาการใด ๆ โดยเชื้อจะซ่อนอยู่ภายในร่างกาย จนกว่าร่างกายจะอ่อนแอ จะก่อให้เกิดอาการที่ชัดเจนได้ ดังนั้นหากผู้ป่วยมีการตรวจพบในช่วงระยะแฝง แพทย์จะรักษาโดยการควบคุมการแบ่งตัวของเชื้อ รวมถึงลดความเสี่ยงที่โรคจะเข้าสู่ระยะแสดงอาการ

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • ระยะแสดงอาการ (Active TB)

ระยะที่เชื้อได้รับการกระตุ้นจนทำให้แสดงอาการต่าง ๆ ได้ชัดเจน เช่น ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอก หรือรู้สึกเจ็บเวลาหายใจหรือไอ อ่อนเพลีย มีไข้ หนาวสั่น มีอาการเหงื่อออกในเวลากลางคืน น้ำหนักลด หรือเบื่ออาหาร

 

 

วัณโรค เป็นแล้วหายได้ 

เป้าหมายสำคัญในการรักษาวัณโรค คือ การรักษาให้หายขาดเพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อและเพื่อป้องกันการดื้อยาของเชื้อวัณโรค แม้ว่าวัณโรคจะสามารถรักษาให้หายขาด แต่ก็มีโอกาสกลับไปเป็นซ้ำได้ หากผู้ป่วยไม่มีวินัยในการรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

  • การรักษาผู้ป่วยวัณโรค 2 เดือนแรก แพทย์จะให้รับประทานยา 4 ชนิด คือ Isoniazid, Rifampicin, Pyrazinamide และEthambutol หากผู้ป่วยดื้อยาอาจจำเป็นต้องใช้ยาอื่นร่วมด้วยเพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • เมื่อรักษาครบ 2 เดือน แพทย์จะตรวจเสมหะหรือเอกซเรย์ปอดซ้ำ หากมีการตอบสนองที่ดีแพทย์จะลดยาให้เหลือเพียง 2 ชนิด และยังต้องให้การรักษาต่อไปอีก 4 เดือน

 

วิธีปฏิบัติตนเมื่อเป็นวัณโรค

  • กินยาตามชนิดและขนาดที่แพทย์สั่งให้อย่างสม่ำเสมอจนครบกำหนด
  • หลังกินยาไประยะหนึ่ง อาการไอและอาการทั่ว ๆ ไปจะดีขึ้น อย่าหยุดกินยาเด็ดขาด
  • สวมผ้าปิดจมูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น
  • เปลี่ยนผ้าปิดจมูกที่สวมบ่อย ๆ เพราะผ้าปิดจมูกเองก็เป็นพาหะได้เช่นกัน
  • บ้วนเสมหะลงในภาชนะหรือกระป๋องที่มีฝาปิดมิดชิด
  • จัดบ้านให้อากาศถ่ายเทสะดวก ให้แสงแดดส่องถึง และหมั่นนำเครื่องนอนออกตากแดด
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ได้ทุกชนิด โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ เนื้อปลา นม ไข่ ผักและผลไม้
  • นอนกลางวันอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง เพื่อนำโปรตีนจากอาหารเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
  • ไม่เที่ยวในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด เพราะอาจนำเชื้อไปแพร่ให้ผู้อื่น หรือติดเชื้อโรคจากผู้อื่นเข้าสู่ร่างกายเพิ่มเติม
  • ในระยะ 2 เดือนแรกหลังจากเริ่มการรักษา (เรียกว่า “ระยะแพร่เชื้อโรค”) ผู้ป่วยควรจะนอนในห้องที่มีอากาศถ่ายเท และนอนแยกห้องกับสมาชิกในครอบครัว รวมไปถึงการรับประทานอาหาร การใช้ถ้วยชามและเสื้อผ้าควรแยกล้าง หรือแยกซักต่างหาก และต้องนำไปตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรค
  • หลังจากแพทย์ลงความเห็นว่าพ้นจากระยะแพร่เชื้อโรคแล้ว ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวได้ เหมือนเดิม เช่น การนอน การรับประทานอาหาร และซักผ้าร่วมกับสมาชิกผู้อื่น โดยในระยะนี้ผู้ป่วยต้องต้านทานยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 4 เดือน (โรควัณโรคจะต้องใช้เวลาในการรักษาระยะสั้นที่สุด 6 เดือน ยาวที่สุด 1-2 ปี)

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

อาการเบื่ออาหาร ไม่อยากกินอะไร 

สาเหตุของการเบื่ออาหารในผู้ป่วยวัณโรคปอดเกิดจากผลของโรคและผลข้างเคียงจากการกินยาต่อมรับรสผิดปกติ มีเสมหะ ไอ เหนื่อย ไม่มีแรงเคี้ยวอาหาร ดื่มน้ำมากเกินไป ทำให้อิ่มน้ำ ซึ่งหลักปฏิบัติในการรับประทานอาหารของผู้ป่วยวัณโรคปอด สามารถทำได้ดังนี้

  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • เนื้อสัตว์ต่าง ๆ นม ไข่ เต้าหู้ เพราะร่างกายต้องการโปรตีน ในการฟื้นฟูเสริมสร้างภูมิต้านทาน
  • ข้าว แป้ง ข้าวโพด เผือก มัน ฟักทอง น้ำตาลควรเลือกเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ขัดสี เช่นข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท เพราะมีวิตามินบีสูงช่วยลดอาการชาปลายมือปลายเท้า และเพิ่มความอยากอาหาร
  • ผักและผลไม้ต่าง ๆ ควรเลือกรับประทานให้หลากหลาย เพื่อให้ได้รับสารอาหารต่าง ๆ ตลอดจนเสริมสร้างภูมิต้านทาน ป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
  • น้ำมัน ไขมันจากพืชและสัตว์ เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูง สร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย ควรเลือกบริโภคน้ำมันที่มีกรดไขมันดี เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด
  • ถ้าผู้ป่วยทานอาหารได้น้อย หรือถ้าไม่หมดในมื้อหลัก ให้แบ่งอาหารเป็นมื้อ 5 – 6 มื้อต่อวัน
  • ควรทานอาหารให้เรียบร้อยก่อนทานยา อย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้ยารักษาวัณโรคออกฤทธิ์ได้ดี

 

อาหารที่ควรงด หรือหลีกเลี่ยง 

  • เนื้อสัตว์ติดมัน หนังสัตว์ กะทิ ของมัน ของทอด ทำให้ผู้ป่วยไอมากขึ้น
  • อาหารที่มีแก๊สสูง ผักผลไม้ ถั่ว น้ำอัดลม ทำให้ผู้ป่วยท้องอืด และทานอาหารที่มีประโยชน์ได้น้อย
  • อาหารสำเร็จรูป โจ๊ก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทำให้อิ่มแต่สารอาหารน้อย
  • หากมีอาการไอควรหลีกเลี่ยงน้ำเย็น
  • ถ้าผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตนพร้อมกับรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และสามารถฟื้นฟูร่างกายจากโรคที่เป็นได้

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

โรคติดต่อที่มักพบในโรงเรียนอนุบาล

วัคซีนเด็ก ควรพาลูกไปฉีดเมื่อไหร่ ทำไมคุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปรับวัคซีนให้ตรงเวลา

วัคซีนวัณโรค สำคัญต่อลูกอย่างไร 100 เรื่องพ่อแม่ต้องรู้ก่อนลูก 1 ขวบ

 

ที่มาข้อมูล : (thonburihospital),(paolohospital),(thaihealth)

บทความโดย

Nanticha Phothatanapong