ขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ เพื่อเป็นประโยชน์กับคุณแม่หลายๆ ท่านคะ แม่เอ๋มีลูกชายอายุประมาณ 10 เดือน 9 วัน น้องปกติทุกอย่าง กินเก่ง ขี้เล่น เวลาสอนให้ทำอะไรจะจำได้เร็วมาก แต่เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 58 น้องมีไข้ ซึม จะเอาแต่นอนอย่างเดียว (ปกติน้องเป็นเด็กนอนน้อย) และก็มีอาเจียนพุ่ง แต่ว่าวันนั้นน้องมีหัวกระแทกกับกระจก แม่เอ๋ก็คิดว่าสาเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้น้องมีอาการแบบนี้ แม่เอ๋จึงเริ่มเฝ้าระวังอาการน้องอย่างใกล้ชิดค่ะ
วันต่อมา (18 สิงหาคม 58) แม่เอ๋กลับจากทำงาน มาถึงบ้านตอนเย็น น้องยังซึม ไม่ค่อยร่าเริง จะนอนอย่างเดียว แม่เอ๋เอาสตรอว์เบอร์รีให้น้องกิน ยังไม่ทันได้กินเลย น้องก็อาเจียนพุ่งอีกครั้ง แม่เอ๋ก็เลยรีบพาน้องไปโรงพยาบาลทันที ตอนแรกคุณหมอประเมินว่าน่าจะเป็นไข้เลือดออกหรือไม่ก็ไข้หวัดใหญ่ แต่เราบอกว่าน้องหัวกระแทกกระจกด้วย คุณหมอเลยให้เอ็กซเรย์แต่ไม่พบความผิดปกติอะไร แต่คุณหมอบอกว่าจะให้แน่นอนต้องทำ CT Scan เราเลยตกลงทำ ผลออกมาทำให้หัวใจคนเป็นแม่ต้องแหลกสลาย เมื่อต้องรับรู้ว่าน้องมีเนื้องอกในสมอง เลยทำให้น้องมีน้ำในโพรงสมองจำนวนมากและต้องรีบทำการรักษาอย่างเร่งด่วน
บอกตามตรงว่า ตอนนั้นแม่เอ๋ไม่สามารถยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ น้องยังเล็ก จะเป็นเนื้องงอกได้อย่างไร? แม่เอ๋ขอผลการตรวจทั้งหมดแล้วเปลี่ยนโรงพยาบาลไปศิริราชคืนนั้นเลย ตลอดเวลาน้องจะหลับอย่างเดียว ให้กินนมก็อาเจียนออกมา พอเราไปถึงโรงพยาบาล คุณหมอก็ตรวจและรับน้องเข้าเป็นผู้ป่วยหนักทันที และตอนเช้าน้องก็เข้ารับการผ่าตัดที่สมองเพื่อใส่ท่อระบายน้ำ
เช้าวันที่ 19 สิงหาคม น้องเข้ารับการผ่าตัดครั้งแรกเพื่อใส่ท่อระบายน้ำจากสมอง การผ่าตัดใช้เวลา 2 ชั่วโมง คุณหมอแจ้งว่าการผ่าตัดผ่านไปได้ดี แต่น้องต้องอยู่ที่ห้อง icu เพื่อดูอาการตอบสนองจากการใส่ระบายน้ำ
ประมาณ 3 ทุ่มกว่า คุณหมอพาน้องไปตรวจ MRI ผลออกมาว่าก้อนเนื้อที่เราพบมันเกิดขึ้นที่ก้านสมองและก้อนใหญ่มากเมื่อเทียบกับเด็กวัย 10 เดือน ในก้อนเนื้อเต็มไปด้วยเส้นเลือดถ้าเราผ่าก้อนเนื้อนี้ออกน้องจะเสียชีวิตระหว่างผ่าตัดซึ่งคุณหมอลงความเห็นว่าผ่าตัดก้อนเนื้อชิ้นนี้ออกเพื่อรักษาไม่ได้ ทำได้เพียงตัดไปตรวจว่าเป็นชนิดไหนเพื่อหาหนทางรักษากันต่อไป
แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ มีเนื้องอกกระจายไปที่ไขกระดูกสันหลังของน้อง บอกตรงๆ ว่าหัวใจคนเป็นแม่แทบสลาย ในใจคิดว่าเนื้อดีมันต้องไม่กระจาย แต่ก็ปลอบตัวเอง ขอให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นด้วยเถิด
วันที่ 21 สิงหาคม คุณหมอพาน้องเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้งเพื่อทำการผ่าก้อนเนื้อไปตรวจ การผ่าตัดครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี น้องฟื้นเร็วมาก มีสติดี ตลอดการรักษาที่น้องอยู่ห้อง icu และใช้เครื่องช่วยหายใจ น้องลืมตาตื่นดี
วันที่ 22 สิงหาคม ประมาณหนึ่งทุ่ม คุณหมอถอดเครื่องช่วยหายใจ เพื่อให้น้องลองหายใจด้วยตัวเองและจะได้กินนม น้องก็สามารถหายใจเองได้ค่ะ แต่ยังร้องไม่มีเสียง
พอวันที่ 23 สิงหาคม คุณหมออนุญาตให้น้องดื่มนมจากขวดได้แต่จะเป็นคุณพยาบาลเป็นคนให้เองนะคะ และผลทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีคุณหมอเลยย้ายน้องไปรักษาตัวที่ห้องผู้ป่วยสามัญคะ แต่ตลอดเวลาที่รักษาตัวน้องลืมตาตื่น น้องมีสติทุกอย่าง น้องยังรำ น้องยังสวัสดีเราได้นะคะ ขนาดระหว่างที่เราอุ้มน้องเพื่อย้ายห้องเค้ายังรำเพลงหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวกับเราได้ตลอดทางเลยคะ เค้าพูดหม่ำๆ ขอเรากินนมได้
แต่วันสุดท้ายที่เราเห็นเค้าลืมตาตื่นและรำให้เราดูได้คือวันที่ 25 สิงหาคม
25 สิงหาคม เรามาเฝ้าลูกตามปกติตั้งแต่เช้าถึงมืด พอสองทุ่มก็ต้องกลับเพราะที่โรงพยาบาลไม่ให้นอนค้าง วันรุ่งขึ้น (26 สิงหาคม) เรามาถึงโรงพยาบาลตอนสิบโมง ก็เห็นน้องหลับอยู่ค่ะ เราก็เลยคุยกับคุณพยาบาลว่าน้องหลับนานหรือยังคะ คุณพยาบาลบอกว่าตอนแปดโมงเช้าน้องตื่นมากินนมและยังจับปูดำให้ดูอยู่แต่หลังจากนั้นน้องก็หลับ คุณพยาบาลก็เอะใจ เพราะปกติน้องจะตื่นมาขอหม่ำๆ เค้าเลยตามคุณหมอมาตรวจ แล้วพาน้องตรวจ CT Scan อีกครั้ง ผลออกมาเริ่มไม่ดีคะ พอประมาณบ่าย 2-3 น้องเริ่มมีอาการชักอีกครั้ง (น้องเคยชักมา 1 ครั้ง ตอนอยู่ห้องไอซียู เลยต้องให้กันชักทุกเที่ยงวันและเที่ยงคืน) เพราะน้องไม่ได้ยากันชักคะ พอคุณพยาบาลเอายามาให้ น้องไม่ชักแต่ทุกอย่างในตัวน้องตกคะ ผลออกมาไม่ดี คุณหมอเรียกเรากับแฟนเราไปคุยอีกครั้ง
หมอบอกว่าอาการน้องไม่สู้ดีนัก ผลชิ้นเนื้อออกมาชนิดที่น้องเป็นคือเนื้อร้าย(มะเร็ง) แต่เราเองทำใจมาแล้วเพราะคุณหมอได้บอกเราบ้างแล้ว ส่วนหนทางรักษา คุณหมอบอกว่า น้องยังเล็กเกินไปที่จะรักษาด้วยการผ่าตัดหรือฉายแสง ส่วนคีโมก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน เพราะมะเร็งชนิดที่น้องเป็นไม่มีผลกับการให้คีโม การรักษาต่างๆ อาจทำให้น้องสมองบวม สมองฝ่อ ยิ่งทำ อาจยิ่งทำให้น้องจากไปเร็วขึ้น เพราะชนิดที่น้องเป็นมันโตเร็วมาก คุณหมอบอกตามตรงว่าน้องจะอยู่กับเราได้อีกไม่นาน เรากับแฟนเลยเลือกที่จะไม่รักษาต่อ เพราะไม่อยากให้น้องต้องเจ็บและทรมานไปมากกว่านี้ และขอใช้เวลาอยู่กับน้องให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้
แม่เอ๋ขออยู่กับน้องในช่วงชีวิตสุดท้ายของเค้า เรากอดและหอมแก้มเค้าทุกวัน โดยระหว่างนี้ก็พยายามทำใจในความสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้น พอวันที่ 12 กันยายน น้องก็จากเราอย่างสงบ รวมอายุได้ 11 เดือน 2 วัน แม่เอ๋ขอขอบคุณแม่ๆ ทุกคนมากนะคะที่ตามอ่านจนจบ สุดท้ายครอบครัวเราต้องขอขอบคุณทีมแพทย์ศิริราชและพยาบาลที่ศิริราช ที่รับน้องรักษา ดูแลน้อง ช่วยน้องอย่างเต็มที่ ถ้าเราไม่ได้รักษาที่นี่น้องคงไปตั้งวันแรกที่รู้แล้วค่ะ
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของแม่เอ๋ที่ใครได้ทราบต่างก็รับรู้ได้ถึงความปวดร้าวที่ต้องเสียแก้วตาดวงใจไปเพราะโรคมะเร็งสมอง ทางดิเอเชี่ยนพาเร้นท์ต้องขอขอบคุณแม่เอ๋ที่อนุญาตให้แบ่งปันเรื่องราว และขอเป็นกำลังให้คุณแม่และครอบครัวกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งนะคะ
ที่มา: My’Gril Nooaey
บทความที่น่าสนใจ
ลูกกระดูกเปราะเพระผงชูรสจริงหรือ? คำอธิบายจากหมอ
โฆษณาซึ้ง ๆ เกี่ยวกับแม่ จากเค้าโครงเรื่องจริง