ลูกติดเชื้อจากการกวาดยา เยื่อหุ้มสมองอักเสบ อันตรายของการกวาดยา ทารกติดเชื้อหนัก

อุทาหรณ์ ลูกรักเกือบต้องจากไป เพราะลูกติดเชื้อจากการกวาดยา อาการหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และไปอยู่ห้อง ICU

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ลูกติดเชื้อจากการกวาดยา

แม่สุดช็อค ลูกติดเชื้อจากการกวาดยา อาการหนักมาก ทั้งติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ด้วยความเชื่อที่ว่า การกวาดยาแบบโบราณจะช่วยให้ลูกไม่เจ็บไม่ป่วย โดยแม่ได้พาลูกน้อยวัย 22 วัน ไปกวาดยาแบบโบราณตามที่มีคนแก่คนโบราณมาทักว่า กวาดแล้วจะไม่เป็นซาง

ตอนเด็ก ๆ ตัวคุณแม่เองก็เคยกวาดยาแต่ไม่เป็นไร จึงพาลูกไปกวาดยา ตี 2 กว่า ๆ ในคืนหนึ่ง ลูกก็ตื่นมาร้องกรี๊ดสุดเสียง ลูกร้องไม่หยุด แม่อุ้มเอากินนมก็ไม่กิน ร้องจนเหนื่อยถึงยอมกินนม แล้วหลับไป พอ 6 โมงเช้า ลูกร้องครางฮือ ๆ ตลอด เริ่มมีไข้ ซึมนิ่ง ไม่ยอมกินนม แม่จึงรีบพาลูกไปโรงพยาบาล หมอตรวจเบื้องต้น ลูกมีไข้ 38 กว่า ๆ ให้แม่เช็ดตัวลูก เช็ดอยู่หลายครั้งไข้ก็ไม่ลด เลยต้องเจาะเลือดหาสาเหตุ

 

ลูกติดเชื้ออย่างรุนแรงจากการกวาดยา

ผลปรากฏว่าลูกติดเชื้อในกระแสเลือด! หมอบอกว่า มีเด็กมากมายที่ไปกวาดยามาแล้วติดเชื้อ ซึ่งการติดเชื้อนี้เป็นไปได้ว่า มาจากมือคนกวาดยา หรืออาจจะอยู่ในยาที่เอามากวาด ซึ่งยากวาดมีส่วนผสมของฝิ่นที่อันตรายมากกับเด็กเล็ก และในวัยทารกเพดานปากจะอ่อนมาก เชื้อโรคเข้าได้ง่าย

หมอสั่งแอดมิทตึกเด็กทันที พอมาถึงมือหมอเด็ก มีหมอและนักศึกษาแพทย์เกือบ 10 คน ล้อมอยู่ที่เตียงลูก หมอบอกแม่ว่าต้องทำใจดี ๆ ไว้น้องเหนื่อยมากหายใจเองไม่ไหวต้องใส่ ท่อช่วยหายใจและย้ายไป ICU ต้องเจาะเอาน้ำกระดูกไขสันหลังมาตรวจเพิ่ม ผลตรวจออกมาเจอเชื้อเพิ่มอีกตัวทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (ติดเชื้อที่สมอง เชื้อตัวนี้จะไปทำลายเซลล์สมอง) หรืออีกชื่อ (เชื้อสเตรปโตคอคคัสกรุ๊ป บี Group B streptococcus หรือ ย่อว่า GBS) ทารก 1 ใน 200 ที่จะมีโอกาสเป็น

ทารกน้อยวัย 22 วัน ติดเชื้อในกระแสเลือดบวกกับเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

การติดเชื้อทำให้ลูกอาการหนัก 4 – 5 วันแรกยังทรง ๆ ไม่รู้สึกตัว ไม่ร้องสักนิด นอนนิ่งเฉยอย่างเดียว ต้องเจาะเลือดทุกวัน เจาะน้ำไขสันหลังไปตรวจอยู่หลายครั้ง เกือบทุกครั้งที่เจาะน้องก็จะชัก …ช่างบีบหัวใจคนเป็นแม่เหลือเกิน แม่เฝ้าก็ไม่ได้เข้าเยี่ยมได้ตามเวลาอย่างเดียวตลอด 7 วัน

ลูกเกือบตาบอดเพราะสมองส่วนที่รับภาพถูกเชื้อทำลาย

วันที่ 7 หมอบอกลูกอาการดีขึ้นให้ย้ายออกไปอยู่ห้องรวม เริ่มหายใจเองได้แต่ยังต้องใส่สายอ็อกซิเจนช่วย เริ่มให้ลูกกินนมทางสายยาง จนอาการดีขึ้น ค่อยเริ่มดูดขวดได้ แต่อยู่ ๆ ลูกก็ลืมตาข้างซ้ายไม่ขึ้น หมอเลยส่งไปเอ็กซเรย์ สแกนสมอง พบว่า มีน้ำบางอย่างจำนวนมากคลั่งอยู่ในโพรงสมอง ส่งผลให้ลูกลืมตาไม่ขึ้น พอผ่านมาระยะหนึ่ง น้องเริ่มลืมตาขึ้นมาได้ไปเอ็กซเรย์ ผลคือน้ำในโพรงมันลดจำนวนลงไม่ต้องเจาะแล้ว พอน้องอาการดีขึ้นลืมตาได้ แม่สังเกตว่า น้องไม่จ้อง ไม่มองหน้าแม่ ไม่มองอะไรเลย ตอนนั้นน้องยังไม่ถึง 2 เดือนเลยคิดว่าเค้าอาจจะยังเห็นไม่ชัด ก็บอกหมอ หมอนัดมาตรวจทีหลัง น้องดีขึ้นจนหาย

น้องฉีดยา กินยา รวมแล้วอยู่โรงพยาบาล 42 วัน หมอเห็นว่า หายดีกลับบ้านได้ ดีใจที่สุด แล้วหมอก็นัดตรวจตาที่แผนกหมอตา หมอบอกกับแม่ว่า น้องมองไม่เห็น แม่ก็ถามถึงวิธีรักษาต่าง ๆ หมอก็บอกว่า ไม่มีวิธีรักษาแล้ว สมองส่วนที่รับภาพถูกเชื้อทำลายไปบางส่วน

จนแม่เปลี่ยนไปโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญเรื่องตา หมอบอกว่า ดวงตาน้องปกติดี แต่ปัญหาอยู่ที่สมองไม่สั่งการให้เห็น (คล้ายกับเราถ่ายรูปเลนส์กล้องดี แต่พอกดถ่าย ภาพไม่ปรากฏออกมาที่จอ) หมอจึงให้แม่กระตุ้นตาลูก แต่หมอบอกไม่ได้ว่า เมื่อไหร่ลูกจะมองเห็น แม่ทำตามที่หมอบอกทุกอย่าง ในที่สุด สังเกตได้ว่า ลูกเริ่มจ้องของ เริ่มมองตามของที่สีเด่น ๆ แต่ยังไม่มองหน้า ลูกเริ่มมองเห็นตอนอายุ 5 เดือน การมองเห็นดีขึ้นเองเรื่อย ๆ จนน่าแปลกใจ แม่ดีใจที่สุดในชีวิตเพราะหวังมาตลอด

“ถึงตอนนี้ วันนี้น้องอายุ 11 เดือนแล้ว น้องจ้องมองหน้าแม่ได้แล้ว แต่ยังเห็นได้ไม่ไกล น้องยังไปตามนัดของหมอตาอยู่ น้องจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แม่คิดอย่างนั้น”

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

ที่มา : khaosod.co.th

ทางทีมงานดิเอเชี่ยนพาเร้นท์ ได้ติดต่อกับคุณแม่ ทราบว่าตอนนี้น้องแข็งแรงดีแล้ว นอกจากเคสนี้ ยังมีเด็กคนอื่น ๆ และแม่ที่มาแชร์ว่าลูกติดเชื้อจากการกวาดยา ซึ่งการติดเชื้อนั้นก่อให้เกิดโรคได้หลายโรค เช่น ฝีหลังคอหอยในทารก

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เมื่อลูกติดเชื้อจากการกวาดยาเกิดเป็นฝีหลังคอหอยในทารก

รศ. พญ. รวีรัตน์ สิชฌรังษี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ระบุว่า น้องไก่ (นามสมมติ) อายุ 2 เดือน มาพบแพทย์ด้วยอาการไข้สูง คอบวมและดูเอียง น้ำลายไหลตลอด ไม่ยอมดูดนม หายใจลำบากจนดูเหมือนเหนื่อย หลังจากไปกวาดยาที่คอ มาประมาณ 1-2 วัน เมื่อตรวจร่างกายก็พบว่าน้องไก่มีอาการของโรคฝีหลังคอหอย และมีการอุดกั้นทางเดินหายใจ ซึ่งต้องรับไว้รักษาตัวในโรงพยาบาลโดยด่วน คุณหมอสันนิษฐานว่า ฝีหลังคอหอยในทารก น่าจะเกิดจากการที่ไปกวาดยา เกิดการบาดเจ็บบริเวณด้านหลังของคอหอย และมีการติดเชื้อตามมา

โรคฝีหลังคอหอยคืออะไร?

โรคฝีหลังคอหอย (retropharyngeal abscess) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น group A streptococcus, S. aureus หรือ เชื้อในกลุ่ม anaerobic bacteria มักพบในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี สาเหตุส่วนมากเป็นผลจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจ เช่น จมูก ทอนซิล คอหอย หูชั้นกลาง หรือ ไซนัส นำมาก่อน สาเหตุอื่นๆที่พบได้ในเด็กเล็กอายุไม่เกิน 3 ปีอาจเป็นผลจากการกวาดยาที่คอ ในผู้ใหญ่อาจเกิดจากการกลืนติดกระดูกไก่ หรือก้างปลาที่คอ และเกิดแผลติดเชื้อแบคทีเรีย

อาการของโรคฝีหลังคอหอยในเด็กเป็นอย่างไร?

  • เด็กที่เป็นโรคนี้จะมีไข้สูง
  • เจ็บคอ
  • กลืนลำบาก
  • เบื่ออาหาร
  • น้ำลายไหลตลอดเพราะกลืนน้ำลายไม่ได้
  • คอบวม คอแข็ง
  • บางรายมีอาการหายใจลำบาก หอบเหนื่อย จากการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบน

ข้อควรระวังของการกวาดยาคืออะไร?

การกวาดยาโดยทั่วไปมีจุดประสงค์เพื่อรักษาโรคแบบแผนโบราณ ไม่ได้มีอันตรายร้ายแรง แต่มีข้อควรระวังคือหากกวาดยาลงไปในลำคอด้วยนิ้วที่ไม่สะอาด หรือกวาดแรง อาจจะทำให้เกิดแผลในคอ โดยเฉพาะที่หลังคอหอย และเกิดลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ฝีหลังคอหอยได้ ซึ่งหากเกิดในเด็กเล็ก อาจเป็นอันตรายร้ายแรงจากภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นจนถึงแก่ชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

หากลูกมีอาการไข้สูง คอบวม น้ำลายไหลตลอด หายใจลำบาก หลังจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจ หรือหลังจากไปกวาดยาที่คอมา อาจเป็นโรคฝีหลังคอหอยได้ คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาลูกไปพบคุณหมอทันที เพราะเป็นไปได้ว่าลูกติดเชื้อจากการกวาดยานะคะ

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

อุธาหรณ์ เด็ก2ขวบเดินสะดุด ดินสอทิ่มฝังหัวเกือบตาย เฉียดลูกตาเกือบทะลุสมอง

ลูกหัวกระแทกพื้น ลูกล้มหัวโน หงายหลังหัวฟาดพื้น แบบไหนอันตราย ต้องไปหาหมอ

โรคที่เกิดขึ้นในวัยทารก โรคยอดฮิตในหมู่เด็กมีอะไรบ้าง พ่อแม่จะรู้ได้ไงว่าลูกป่วย

ลูกเป็นแผลในปาก ร้อนใน แม่จะรู้ได้ไงว่าลูกเป็นแค่ร้อนใน หรือป่วยร้ายแรงกว่านั้น

 

บทความโดย

Tulya