โรคกลากน้ำนม (Pityriasis alba)
กลากน้ำนมเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อย จะพบมากในเด็กช่วงอายุ 3-16 ปี และพบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย สำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่านี้และผู้ใหญ่ก็อาจเป็นโรคนี้ได้ มักพบบ่อยในคนที่เป็นผื่นแพ้จากกรรมพันธุ์ กลากน้ำนม ไม่ได้เกิดจากการดื่มนมของเด็กอย่างที่เข้าใจกัน ที่สำคัญโรคกลากน้ำนมไม่มีผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กแต่อย่างใด โรคกลากน้ำนมไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อราแต่อย่างใด ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจจะเข้าใจผิดว่า โรคกลากน้ำนมเกิดจากการกินนมของเด็ก จึงพยายามเปลี่ยนยี่ห้อนมไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด
สาเหตุของโรคกลากน้ำนม (Pityriasis alba)
เกิดจากโครงสร้างการเรียงตัวของเม็ดสีผิว (melanocyte) ที่ผิดปกติ ที่ชั้นผิวหนังกำพร้าไม่สามารถสร้างเม็ดสี (pigment) ได้ตามปกติ ทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเป็นรอยด่างขาว แต่สาเหตุที่ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีเกิดความผิดปกติยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดเชื่อว่า อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือแพ้ลม แพ้แดดก็เป็นได้
อาการ
เนื่องจากโรคนี้ไม่ใช่โรคผิวหนังที่รุนแรง ดังนั้นผู้ป่วยมักไม่มีอาการอื่นใดนอกจากความผิดปกติของบริเวณผิวหนังเท่านั้น โดยลักษณะของกลากน้ำนมที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะเป็นวง มีความกว้างประมาณ 1 – 4 เซนติเมตร ไม่มีอาการเจ็บ คัน หรือรู้สึกระคายเคือง เมื่อไปสัมผัสบริเวณที่เป็นจะรู้สึกถึงผิวหนังที่ขรุขระเล็กน้อยและเป็นขุย พบได้ทั่วไปบริเวณใบหน้า แก้มทั้งสองข้าง ไหล่ แขนและตามลำตัว ซึ่งในผู้ป่วยบางรายก่อนเริ่มเป็นโรคนี้อาจจะมีอาการคล้ายผื่นคันขึ้นบริเวณผิวหนังเล็กน้อยและแปรสภาพเป็นด่างขาวในที่สุด นอกจากนี้ยังเกิดในผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคผิวหนังอยู่ด้วย หากได้รับการกระตุ้นจากแสงแดดและความร้อนจะทำให้เกิดความรู้สึกระคายเคืองและมองเห็นเป็นรอยด่างขาวชัดเจนมากขึ้น
การรักษา
1.ยาทากันแดด ในกรณีที่ต้องตากแดดมากและจะช่วยป้องกันไม่ให้โรคกลากน้ำนมลุกลามมากขึ้น
2.ยาทากลุ่มสเตียรอยด์ชนิดอ่อน เช่น Hydrocortisone 1 – 2 % วันละ 1 – 2 ครั้ง อาจใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะหายและยาทากลุ่มครีมเบสต่าง ๆ
3.บางคนอาจหายเองได้ ถ้าหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าว
4.ห้ามใช้ครีมกลุ่มสเตียรอยด์ความเข้มข้นสูง หรือชนิดที่แรง ๆ เพราะอาจทำให้ผิวหนังด่างขาวมากขึ้นจากการใช้ยา ซึ่งจะทำให้รักษาหายยาก
วิธีป้องกันและชะลอการกลับมาเป็นซ้ำ
เนื่องจากโรคกลากน้ำนมยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงยังไม่มีวิธีการป้องกันอย่างตรงจุด นอกจากพยายามดูแลลูกน้อยด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงผิวที่มีความอ่อนโยน ส่วนเด็กที่เป็นโรคนี้แล้วควรได้รับการรักษาจากแพทย์ผิวหนังในระยะยาว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลผิวของลูกน้อยด้วยการทาครีมบำรุงหากออกแดดเพื่อป้องกันผิวแห้ง โดยเฉพาะบ้านเราเป็นเมืองร้อนทำให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดโรคกลากน้ำนม หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดดโดยตรงหรือหากจำเป็นต้องตากแดดควรใช้ครีมกันแดดในการป้องกันผิวอีกระดับหนึ่ง ส่วนการอาบน้ำควรใช้สบู่ชนิดอ่อนโยนต่อผิวและปราศจากเคมีอันตรายและไม่ควรอาบน้ำอุ่นเพราะจะทำให้ผิวแห้งควรอาบน้ำที่อุณหภูมิห้องปกติจะดีกว่า
คำแนะนำ
1.โรคกลากน้ำนมอาจเป็นเรื้อรัง หรือเป็น ๆ หาย ๆ นาน 1-2 ปี แต่ไม่มีอันตรายแต่อย่างใดและไม่ติดต่อไปยังผู้อื่น เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะหายได้เอง
2.โรคนี้ต่างจากเกลื้อนตรงที่เกลื้อนจะเกิดที่หลัง คอ และหน้าอก และพบมากในคนหนุ่มสาวที่มีเหงื่อออกมาก แต่กลากน้ำนมจะเกิดบนใบหน้าและไหล่ จะพบมากในเด็กจนถึงวัยหนุ่มสาว ถ้าหากแยกกันไม่ออกลองรักษาแบบเกลื้อนดูก่อน หรือถ้าใช้สเตียรอยด์ทาแล้วกลับลุกลามมากขึ้น ก็อาจเป็นเกลื้อน ควรหยุดยาแล้วใช้ยารักษาเกลื้อนแทน
3.โรคนี้ไม่ได้เกิดจากการกินนม แต่ที่เรียกกลากน้ำนมเพราะมักพบในระยะที่เด็กกินนมและลักษณะเหมือนน้ำนมแห้งติดอยู่ที่แก้ม
4.ไม่ควรซื้อยาทาประเภทแสบร้อนหรือขี้ผึ้งเบอร์ต่าง ๆ มาทาอาจทำให้หน้าไหม้เกรียม หรือหนังแห้งเป็นผื่นดำ
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.healthcarethai.com/
อ่านบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
คุณแม่แบ่งปัน วิธีรักษาภูมิแพ้ผิวหนังให้ลูกน้อยกลับมาใสกริ๊บ