คุณแม่อ้อ Panadda Veerada สมาชิกเฟสบุ๊คท่านหนึ่งได้แชร์เรื่องราวของลูกสาวคือ น้องท็อฟฟี่ วัย 3 ขวบ 11 เดือน เป็นโรคมะเร็งตับ โดยเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559 คุณแม่อ้อ ต้องรีบนำตัวน้องท็อฟฟี่ส่งโรงพยาบาลแห่งหนึ่งย่านปากเกร็ด ภายหลังมีไข้สูง ซึ่งคุณหมอที่รับตรวจในตอนแรกบอกว่าน้องป่วยเป็นปวดบวม แต่ในวันรุ่งขึ้น คุณหมอประจำก็ได้มาตรวจน้องอีกครั้ง ผลปรากฎว่า น้องมีก้อนที่ท้องประมาณ 10 เซนติเมตร จึงรีบทำการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 หมอมาแจ้งว่า ก้อนที่เจอนั้น สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นมะเร็ง หมอบอกว่ามันโตไวมาก เพราะก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว น้องได้เข้ารับการรักษาตัวด้วยอาการหลอดลมอักเสบ และในตอนนั้นยังไม่มีก้อนเนื้อใด ๆ เลย
คุณแม่จึงถามหมอว่าสามารถที่จะรักษาให้หายได้หรือไม่ แต่เหมือนฟ้าผ่ากลางใจเมื่อคุณหมอส่ายหน้า แล้วตอบว่าหากทำการรักษาก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกเพียง 5 ปี และหมอก็เดินจากไป ใจของแม่ตอนนั้นปวดร้าว เหมือนมีคนเอามีดมากรีดกลางใจ ออกมากรีดร้องอยู่คนเดียวหน้าห้อง จนน้องท็อฟฟี่เดินตามออกมา และถามแม่ด้วยความไร้เดียงสาว่า “หม่าม๊าตาแดงเหรอ”
คุณแม่จึงตั้งสติแล้วรีบโทรหาคุณพ่อทันที และต่างกอดกันร้องไห้ในขณะที่ลูกนอนหลับ ต่างฝ่ายต่างมีคำถามที่ไม่มีคำตอบว่า “ทำไมจึงต้องเกิดขึ้นกับลูกสาวของเราด้วย”
8 กุมภาพันธ์ 2559 คุณหมอได้ส่งเรื่องต่อมายังโรงพยาบาลเด็ก โดยคุณแม่ได้เตรียมผลเอกซเรย์และเอกสารทุกอย่างมาด้วย จนมาพบกับคุณหมอวรรณนิสา ภู่เจริญ และคำถามที่คุณหมอถามก็คือ “มีใครที่บ้านสูบบุหรี่หรือไม่ บ้านใกล้สารเคมีหรือเปล่า ลักษณะของบ้านที่อยู่เป็นอย่างไร พ่อแม่มีลูกทั้งหมดกี่คน” แม่อ้อจึงค่อย ๆ ตอบคำถามของหมอด้วยความกลัวและวิตกกังวลว่า “ที่บ้านไม่มีใครสูบบุหรี่ บ้านก็ไม่ได้อยู่ใกล้กับสารเคมี และบ้านที่อาศัยอยู่ตอนนี้เป็นบ้านเดี่ยวริมแม่น้ำเจ้าพระยา และมีลูกเพียงคนเดียวเท่านั้น”
คลิกเพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่หน้าถัดไปค่ะ
คุณหมอตัดสินใจให้ท็อฟฟี่นอนโรงพยาบาลในคืนนั้นเลย เพราะต้องการที่จะเอกซ์เรย์กระดูกและปอด และทันทีที่คุณหมอทราบผลก็มาแจ้งว่า น้องมีเลือดกรุ๊ป B Rh Negative ซึ่งเป็นกรุ๊ปเลือดที่หายากมาก สิ่งที่แม่อ้อคิดได้ตอนนั้นคือ การโพสต์ขอความช่วยเหลือผ่านเฟสบุ๊ค มีคนมากมายติดต่อเข้ามาเพื่อขอบริจาคเลือดที่น้องจะต้องผ่าตัวในอีก 3 เดือนข้างหน้า
12 กุมภาพันธ์ 2559 ท็อฟฟี่เข้ารับการผ่าตัดก้อนเนื้อด่วน เพื่อตรวจสอบว่าเป็นอะไร และเข้าพักฟื้นในห้อง ICU เพียงสองวัน โดยคุณหมอนัดฟังผลอีกครั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ และผลตรวจของคุณหมอก็ต้องทำให้หัวอกคนเป็นแม่แทบแตกสลายอีกครั้ง
“ชิ้นเนื้อที่ตัดไปนั้น ไม่สามารถทราบได้ว่าผลชิ้นเนื้อนั้นเป็นชนิดไหน อยากที่ขอนัดผ่าตัดอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณหมอบอกว่า ก้อนเนื้ออยู่ที่ตับข้างซ้ายใกล้หัวใจและใกล้เส้นเลือดมาก การผ่าตัดที่จะเกิดขึ้นอีกครั้นั้นจะให้คุณหมอที่ชำนาญในการผ่าตัดเส้นเลือดเข้าร่วมด้วย เพื่อตัดสินใจว่า จะตัดได้หรือไม่ เพราะถ้าหากเสี่ยงเกินไป คุณหมอก็จะแค่ตัดชิ้นเนื้อมาตรวจอีกครั้งเท่านั้น”
4 มีนาคม 2559 เวลา 09.00 น. ท็อฟฟี่เข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง ตอนนั้นคุณแม่อ้อเฝ้าภาวนาและสวดมนต์ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยปกป้องคุ้มครองให้ลูกปลอดภัย ประมาณเวลา 18.00 น. คุณหมอได้แจ้งว่า การผ่าตัดนั้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และได้ตัดก้อนเนื้อออกไปหมดแล้ว และยังให้ดูรูปก้อนเนื้อที่ตัดออกมานั้นมีขนาด 11×7 เซนติเมตร
คลิกเพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่หน้าถัดไปค่ะ
ตอนนั้นสิ่งที่แม่อยากทำมากที่สุดก็คือ ก้มกราบหมอที่สามารถผ่าตัดเอาก้อนเนื้อนั้นออกไปได้ ท็อฟฟี่อยู่ห้อง ICU ถึง 5 วันถึงจะสามารถย้ายออกมาอยู่ห้องพักธรรมดาได้ แต่ดูเหมือนเรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น น้องมีอาการตัวเหลืองภายหลังจากการผ่าตัด คุณหมอจึงได้ทำการเอกซเรย์อีกครั้ง แต่ตับนั้นปกติดี แต่อาจเป็นอาการหลังผ่าตัด เพราะการผ่าตัดที่ผ่านมามีการตัดตับข้างซ้ายประมาณครึ่งหนึ่งไป คุณหมอให้ยาฆ่าเชื้อเป็นเวลา 10 วัน
ท็อฟฟี่สามารถกลับบ้านได้ในวันที่ 29 มีนาคม แต่ยังคงต้องมาทานยาจนครบอีก 2 สัปดาห์ และหลังจากที่ทานยาครบแล้ว จะต้องนัดตรวจและเจาะเลือดเพื่อดูผลอีกครั้ง โดยน้องจะต้องทำครีโมถึงสามครั้งหลังจากที่ร่างกายแข็งแรงดีแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่า ไม่มีเชื้อดังกล่าวอยู่หลงเหลือภายในร่างกายอีก
และนี่คือสิ่งที่คุณแม่อ้อ อยากฝากถึงคุณแม่ทุก ๆ คน “หากลูกไม่สบาย ควรนำไปพบแพทย์ อย่าปล่อยและคิดว่าลูกไม่เป็นอะไรมาก เพราะเด็ก ๆ ยังไม่มีภูมิต้านทานกับโรคภัยมากนัก และควรหมั่นสังเกตดูแลเรื่องการทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ว่าลูกเราจะป่วยด้วยโรคอะไรก็ตาม เราต้องคิดบวก ให้กำลังใจกันละกัน ดูแลซึ่งกันและกัน และทำทุก ๆ วันให้เหมือนเดิม ทำตามที่คุณแม่แนะนำ อย่าคิดในแง่ลบล่วงหน้า ยิ้มและสู้กับทุกปัญหา เราต้องผ่านมันไปให้ได้ เพื่อลูกของเรา”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบคุณทุก ๆ กำลังใจและขอบคุณผู้บริจาคเลือดให้กับน้องทุกท่าน ขอบคุณที่ให้ชีวิตใหม่กับลูกสาวของเรา ขอบคุณโรงพยาบาลเด็ก ขอบคุณคุณหมอวรรณนิสา ที่คอยเตือนสติให้รู้ว่า เราไม่ควรคิดอะไรไปไกล และควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ทุกอย่าง ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
ที่มา: LookGoodShop
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
ระวัง! 9 ของใช้ในบ้าน ตัวการก่อมะเร็ง
มาตุนอาหารต้านมะเร็งสำหรับเด็ก 15 ชนิดนี้กันเถอะ