การที่แม่ท้องรู้สึกว่า จิ๊มิ๊มีกลิ่นแรง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น ตกขาวเหม็นเน่า เป็นเพราะฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์ทำให้จมูกของคุณรับกลิ่นได้ไวกว่าปกติในร่างกาย ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิงที่สูงกว่าปกติ คือ ต่อมที่ปากมดลูกซึ่งตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศหญิง จึงมีผลต่อลักษณะ และปริมาณของตกขาว ดังนั้น การมีตกขาวปริมาณมากขึ้นในช่วงการตั้งครรภ์โดยจะมีลักษณะเป็นมูกใส หรือขาวขุ่น ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ปัญหาแม่ท้อง จิ๊มิ๊มีกลิ่นแรง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น !! ทำไงดี
ตกขาวเยอะ ตกขาวกลิ่นเหม็น ตกขาวเหม็นเน่า เกิดขึ้นได้อย่างไร
-
ความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ
เช่น หมั่นดูแล หลังทำความสะอาดควรซับให้แห้งอยู่เสมอ เพราะกางเกงใน หรือขนอวัยวะเพศ มีการหมักหมม คุณแม่ตั้งครรภ์ อาจใส่แผ่นอนามัยในช่วงเป็นตกขาว และหมั่นเปลี่ยนแผ่นอนามัยอยู่เสมอ
-
การรับประทานอาหารบางประเภท
เช่น อาหารทะเลบางชนิด หัวหอม ต้นหอม เครื่องเทศบางชนิด ที่ให้กลิ่นปนมาในปัสสาวะ และปัสสาวะที่ติดกางเกงใน มีกลิ่นรุนแรง จึงติดมาถึงบริเวณอวัยวะเพศ
-
คุณแม่ตั้งครรภ์ขี้ร้อน เหงื่อออกบ่อย เกิดความอับชื้น
ยิ่งเหงื่อ จากที่อับชื้นจากร่างกาย หรือออกบริเวณอวัยวะเพศก็ทำให้อวัยเพศมีกลิ่นได้เสมอ ควรสวมชุดที่เบาสบายระบายอากาศ และชุดชั้นในไม่รัดกุม เลือกที่ระบายอากาศดีที่สุดค่ะ
-
ล้างช่องคลอด หรือทำความสะอาดผิดวิธี
การล้างช่องคลอด หรือการรักษาความสะอาดผิดวิธี เป็นการทำลายสมดุลของแบคทีเรียเจ้าถิ่นในช่องคลอด การล้างด้วยสบู่ที่รุนแรงก็ทำให้มีกลิ่นและตกขาวได้เช่นกันค่ะ
-
การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์
สามารถมีได้แต่ก็ต้องระวังเรื่องความเสี่ยง อาจจะได้รับเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นพิเศษ คุณแม่ตั้งครรภ์ ควรสังเกตลักษณะตกขาวที่เปลี่ยนไป เช่น สีเข้มขึ้น หากมีเลือดปนถือว่าผิดปกติ เป็นสัญญาณอันตราย ควรแจ้งแพทย์ทันที กลิ่นผิดปกติ โดยเฉพาะกลิ่นเหม็นคล้ายปลาเน่า ซึ่งพบว่ามีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อของน้ำคร่ำ การคลอดก่อนกำหนด รวมถึงการติดเชื้อหลังคลอดได้นอกจากนี้ ลักษณะตกขาวข้นคล้ายนมบูดหรือโยเกิร์ต อาจเป็นลักษณะของเชื้อรา ซึ่งพบได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์เช่นกัน
หากช่องคลอดติดเชื้อ ในช่วงตั้งครรภ์ ควรทำอย่างไร
บทความ : ช่องคลอดติดเชื้อช่วงตั้งครรภ์ทำอย่างไรดี
ช่องคลอดติดเชื้อในช่วงตั้งครรภ์ สามารถสังเกตได้จากสี และกลิ่นของตกขาวคือ การอักเสบติดเชื้อของช่องคลอด และปากมดลูก ที่พบได้บ่อยคือ การอักเสบติดเชื้อจากเชื้อรา เชื้อพยาธิในช่องคลอด และเชื้อแบคทีเรีย ดังนี้
-
การอักเสบของช่องคลอด ซึ่งจากเชื้อรา
พบได้บ่อยมาก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของช่องคลอดระหว่างตั้งครรภ์ที่ทำให้สภาพต่าง ๆ เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อรามาก ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ลักษณะของตกขาวนั้น จะมีปริมาณมาก เป็นสีขาวหรือเป็นก้อนเล็ก ๆ สีขาวก็ได้ ที่สำคัญคือ มักมีอาการคันบริเวณช่องคลอด หรือบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกร่วมด้วย
-
การอักเสบ และการติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด
เกิดจากเชื้อพยาธิตัวเล็ก ๆ ซึ่งเป็นคนละชนิดกับพยาธิลำไส้ ลักษณะของตกขาวนั้นมักเป็นสีเหลือง ๆ หรือเขียว ๆ บางรายอาจออกมามาก และคล้ายเป็นฟองอีกด้วย ส่วนอาการที่เกิดร่วมด้วยนั้นก็คล้ายกับการติดเชื้อรา คือ มักมีอาการคันอย่างมากบริเวณช่องคลอด และอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก จะมีอาการคันช่องคลอดมาก จนบางทีคุณแม่เกาจนถลอกเลยก็มี
-
การอักเสบ และการติดเชื้อจากแบคทีเรีย
อาการมักไม่ชัดเจนเหมือนเชื้อราหรือเชื้อพยาธิ แต่มักมีตกขาวออกมามาก อาจมีสีเหลืองหรือเทา ๆ ข้น ๆ เหนียว ๆ อาจมีกลิ่นเหม็นผิดปกติร่วมด้วยก็ได้ อาการอื่นอย่างแสบร้อน หรือคันบริเวณช่องคลอดก็พบได้เช่นกัน
ช่องคลอดติดเชื้อส่งผลถึงทารกในครรภ์หรือไม่
คุณหมอยืนยันว่า การอักเสบติดเชื้อต่าง ๆ ที่ว่ามานั้นเป็นเพียงการอักเสบติดเชื้อเฉพาะที่เท่านั้น ไม่มีผลต่อลูกในท้อง โดยเฉพาะถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
การดูแลช่องคลอดระหว่างตั้งครรภ์ ป้องกัน ตกขาวมีกลิ่นเหม็น
- รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้เกิดความอับชื้น
- ชุดชั้นในควรเป็นชนิดที่ใส่สบาย ไม่รัดจนเกินไป กางเกงชั้นในที่ใส่ควรเป็นผ้าคอตตอน หรือผ้าฝ้าย ที่ระบายอากาศได้ดี
- คุณแม่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำยาพิเศษอะไรสวนล้างช่องคลอด โดยเฉพาะหากแพ้ขึ้นมา อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบ หรือติดเชื้อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
- ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำธรรมดาเท่านั้น
- สำหรับคุณแม่ที่ติดการใส่แผ่นรองกันเปื้อน ควรเปลี่ยนบ่อยๆ เพราะถ้าไม่เปลี่ยนก็จะเกิดการอับชื้น และก็จะนำพาเชื้อรา ตัวการของช่องคลอดอักเสบได้นั่นเอง
- แม่ตั้งครรภ์จะปัสสาวะบ่อย ดังนั้น เรื่องความสะอาดจึงต้องพิถีพิถัน เมื่อเข้าห้องน้ำ พกทิชชูที่สะอาดติดตัวไว้เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้น้ำ และทิชชูจากภายในห้องน้ำที่อาจที่เป็นตัวนำพาเชื้อต่าง ๆ
- วิธีการทำความสะอาด ควรทำเฉพาะที่ ไม่ควรปาดจากก้นด้านหลังขึ้นมา เพราะจะนำเชื้อแบคทีเรียเข้าไปในช่องคลอดได้
ดังนั้น จึงควรแจ้งแพทย์ผู้ดูแลให้ทราบ เพื่อตรวจรักษา ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เพราะอาจไม่ตรงกับเชื้อ ทำให้รักษาไม่หายขาด อาจดื้อยาและเป็นเรื้อรังได้ค่ะ
อ้างอิง : momlovesbest.com
บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เจ็บหัวหน่าว จิ๊มิ๊ชอบตด เรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้กับแม่ท้องทุกคน!