รูปเดียว 452 ไลค์ เล่นเอาหัวใจฉันพองโตด้วยความดีใจและภาคภูมิใจ พวกเขากดไลค์เพราะฉันสวย ฉันฉลาด ชีวิตฉันน่าสนใจใช่ไหม…
ปกติฉันชอบแจกไลค์ให้คนอื่นง่าย ๆ แต่ไลค์ที่คนอื่นกดให้นี่สิ กลับมีความหมายต่อฉันมาก
รูปไหนได้ไลค์น้อยฉันจะตีความว่ารูปนั้นฉันไม่สวย คอมเมนต์ไหนไม่ได้ไลค์คงเป็นเพราะฉันตอบไม่ฉลาด
สื่อสังคมออนไลน์ส่งผลต่อความมั่นใจของฉันมากอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันเริ่มรู้สึกแย่จนถึงขั้นละอายใจในสิ่งที่ทำไป
ถึงจะรู้ว่าคนสร้างสื่อพวกนี้ตั้งใจหลอกล่อให้คนเล่นแล้วติด แต่ฉันก็ดึงตัวเองออกจากโลกโซเชียลไม่ได้เลย
สิ่งแรกที่ฉันจะทำเมื่อเปิดเน็ต คือ เช็กเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม แค่หยิบมือถือ มือฉันก็กดเข้าแอพเองโดยอัตโนมัติแล้ว
ฉันเห็นชีวิตคนอื่นที่น่าตื่นเต้นกว่าฉัน คนที่สวยกว่า มีชีวิตที่ดีกว่า ฉันเริ่มเปรียบเทียบคนอื่นกับตัวเองบ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย
โดยธรรมชาติ มนุษย์เรามักประเมินตัวเองโดยเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่แล้ว การสัมผัสโลกโซเชียลยิ่งเปิดโอกาสให้เราเปรียบเทียบตัวเองกับผู้คนมากมายในชั่วเวลาแค่ไม่กี่วินาที
ฉันเห็นชีวิตเพื่อน ๆ ในมุมที่พวกเขาพยายามเสนอให้ตัวเองดูดีที่สุด
ฉันเห็นชีวิตหรูหราฟู่ฟ่าของพวกไฮโซที่สวยและรวยมาก
มองไปรูปไหน ๆ ก็ดีกว่าตัวฉันทั้งนั้น!
ยิ่งติดโซเชียลเท่าไร ฉันยิ่งรู้สึกไม่พอใจกับชีวิตตัวเอง
สิ่งที่ฉันรู้สึกตรงกับข้อสรุปในงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกนเป๊ะ
เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว… เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ฉันจึงเริ่มลงมือทดลองเรื่อง “การใช้ชีวิตแบบปราศจากโซเชียลมีเดีย” โดยหวังว่าจะช่วยให้ฉันเลิกสนใจเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องได้
ไม่เปิดเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม สแนปแชท 1 เดือนเต็ม ๆ สำหรับคนไม่ติดโซเชียลอาจมองเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่ามันยากและไม่แน่ใจว่าจะทำได้ไหม คุณคงเป็นคล้าย ๆ ฉัน
อ๊ะ ๆ อย่าเข้าใจผิดนะคะ ฉันรู้ค่ะว่าโซเชียลมีเดียมีประโยชน์มากมาย เฟซบุ๊กทำให้ตามติดชีวิตเพื่อน ๆ หลังเรียนจบได้ อินสตาแกรมสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้ การตัดขาดจากโซเชียลจะทำให้ฉันพลาดข่าวคราวความคืบหน้าของชาวบ้านไปมากมายแน่นอน
สิ่งที่ฉันกลัวถ้าปิดเฟซบุ๊กชั่วคราว คือ กลัวจะโดนตัดขาดจากกลุ่มเพื่อน แต่นี่ยิ่งตอกย้ำให้ฉันต้องลดโซเชียลลงให้ได้ ฉันไม่อยากให้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นผ่านทางแอพเท่านั้น แต่อยากทักทายสร้างสัมพันธ์กับคนที่ฉันรักในโลกชีวิตจริงมากกว่า
—-
1 เดือนที่ตัดขาดจากโลกโซเชียล ทำให้ฉันรู้สึกแบบที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
มันคงคล้าย ๆ อารมณ์ “อกหัก”
ช่วงแรก ๆ ที่ฉัน “เลิก” กับโซเชียล ฉันแทบทนไม่ได้
บ่อยครั้งที่ถ่ายรูปและคิดว่าจะตั้งสเตตัสอะไรดีนะ แต่ต้องหักใจเพราะรู้ตัวว่าทำอย่างนั้นไม่ได้
บ่อยครั้งที่แอบชำเลืองดูหน้าจอมือถือคนข้าง ๆ ว่ามีอะไรในหน้าเฟซบ้าง
แต่ไม่นาน ความอยากก็ค่อย ๆ หายไป นิ้วมือไม่กดเข้าเฟซอัตโนมัติเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ฉันเลิกสนเรื่องชาวบ้าน และหันมาใช้เวลากับตัวเองมากขึ้น
จากที่ใช้ไลค์คนอื่นมาเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง ก็เปลี่ยนมาสร้างคุณค่าจากภายในแทน
จากที่เคยติดต่อเพื่อน ๆ ผ่านคอมเมนต์ ก็เปลี่ยนมาเป็นคุยกันแบบเห็นหน้าหรือโทรคุยกันแทน
ฉันบอกไม่ได้หรอกนะว่ามีความสุขมากกว่าเดิมหรือเปล่า แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปแน่ ๆ คือ การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ
ฉันใช้เวลาคิดทบทวนเรื่องราวของตัวเองมากขึ้น และเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
หลังจากจัดระเบียบหาทิศทางให้ตัวเองใหม่ คราวนี้ฉันกลับไปใช้สื่อโซเชียลได้อย่างมีสติมากขึ้น
ฉันรู้สึกโตขึ้น และรู้จักเลือกเดิน “ทางสายกลาง” คือ เล่นโซเชียลแต่พอประมาณ และควบคุมตัวเองได้
มันไม่ง่ายหรอก แต่ถ้าฉันทำได้ คุณเองก็ทำได้เหมือนกัน!
ถ้าคุณกำลังรู้สึกติดโซเชียลเหมือนอย่างที่ฉันเคยเป็น ขอแนะนำให้ลองหักดิบดู แค่ 1 เดือนที่ตัดขาดโลกสังคมออนไลน์ จะทำคุณตั้งหลักชีวิตตัวเองได้ และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในชีวิตจริงมากขึ้น ไม่เชื่อก็ลองดูค่ะ!
ที่มา huffingtonpost.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ชัดเจน! คุณแม่ทดสอบเอง ถ้าพ่อแม่ติดมือถือจะพลาดอะไรไปเยอะแค่ไหน
ติดมือถือมากไป อาจเป็นมัจจุราชเงียบในการทำลายความสัมพันธ์