ความรุนแรงในคราบไม้เรียว ทำไมเด็กไทย พ่อแม่ไทย ถึงหงอกับครูขนาดนี้ เคยไหมคะ ตัวเองก็เป็น กลัวครูเมื่อตอนยังเป็นเด็ก พอมาเป็นพ่อแม่ก็กลัวอีก ปมแบบนี้ของคนไทย มันเป็นเพราะอะไรกันนะ
ข่าวแย่ๆ ไม่นานมานี้
ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่งใน อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ พร้อมญาติได้นำหลักฐานเอกสารข้อความบทสนทนาผ่านไลน์ ซึ่งมีเนื้อหาลามกอนาจาร รวมถึงคลิปโป๊ และรูปถ่ายร่องรอยที่ลูกถูกครูตีก้นจนเขียวช้ำ เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับนายผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อให้สอบเอาผิดกับครูสอนวิชาสุขศึกษา และพละศึกษา หลังทนกับพฤติกรรมของครูคนดังกล่าวไม่ไหว
ครูทำโทษโดยการใช้ไม้เรียวตีก้นเด็กนักเรียนชั้น ม.2 เกือบทั้งห้อง คนละตั้งแต่ 100–300 ครั้ง เนื่องจากลืมเอาสมุดหนังสือวิชาของครูมาโรงเรียน บางคนก็ไม่ได้ห่อปกสมุดหนังสือมา และยังมีพฤติกรรมพูดจาหยาบคาย ส่งคลิปโป๊ ข้อความลามกอนาจารในไลน์ และขอมีสัมพันธ์กับนักเรียนหญิงชั้น ม.2 ด้วย
พ่อแม่ไม่รู้ เพราะเด็กไม่เล่า
คุณแม่ของเด็กบอกว่า ทราบข่าวจากญาติ และเพื่อนของลูกสาวเล่าให้ฟัง จึงไปเค้นถามจากปากของลูกสาวด้วยตัวเอง ซึ่งลูกสาวก็ยอมรับว่าถูกครูทำโทษใช้ไม้เรียวตีก้น 313 ครั้งจริง เนื่องจากลืมสมุดหนังสืออยู่ใต้เบาะรถจักรยานยนต์ของพี่สาว และครูยังส่งคลิปโป๊ ข้อความลามกอนาจารมาคุยทางไลน์
บทความอื่นที่น่าสนใจ : เด็กป.5 สามคน รุมทำอนาจารเด็กอ.2 อวัยวะเพศฉีกขาด
โดยลูกสาวบอกว่าครูมีพฤติกรรมแบบนี้มาเกือบปีแล้ว แต่ไม่กล้าบอกคนในครอบครัวเพราะกลัวครูจะกลั่นแกล้งหรือเอาเรื่อง จึงเล่าให้แค่เพื่อนที่สนิทฟัง แต่ด้วยหัวอกคนเป็นแม่รับไม่ได้กับการกระทำของครู จึงได้นำหลักฐานเข้าร้องเรียน ผอ. เพื่อให้ลงโทษครูคนดังกล่าวถึงที่สุด ซึ่งจากการสอบถามจากผู้ปกครองหลายคนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ลูกก็เคยถูกครูคนนี้ทำโทษเกินกว่าเหตุเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าร้องเรียน เพราะกลัวจะถูกครูกลั่นแกล้ง
บทความอื่นที่น่าสนใจ : แม่สุดทน! ลูกสาวแค่ลืมหนังสือ โดนเฆี่ยนกว่า 300 ที แถมยังส่งคลิปโป๊-คุยลามกเข้ามาในไลน์
ข่าวแบบนี้ในเมืองไทย ไม่เคยเป็นข่าวสุดท้าย
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีข่าวแบบนี้ออกมาค่ะ และคงไม่เป็นข่าวสุดท้ายด้วย เนื่องจากผู้ปกครองบางคน ก็มีความคิดในการลงโทษลูกแตกต่างกันไป บางคนรู้สึกธรรมดาถ้าครูจะลงโทษเด็กด้วยการตี ในขณะที่พ่อแม่บางคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่เกินไป เพราะบางเรื่องก็รุนแรงไปที่จะลงโทษด้วยการตีค่ะ หนำซ้้ำที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เด็กๆ หลายคนเลือกที่จะบอกพ่อแม่ แต่กลับเป็นพ่อแม่เสียเองที่หวาดกลัวคุณครู และนั่นมันก็ทำให้ที่พึ่งสุดท้ายอย่างคนเป็นพ่อเป็นแม่ ยังไม่สามารถปกป้องลูกได้
ครูในไทย อภิสิทธิ์ชนรึเปล่า
ว่าไหมคะ ว่าคนไทยมองคนที่เป็นครู เหมือนเป็นคนที่น่าเคารพบูชา ทั้งที่ส่วนใหญ่น่ะไม่ใช่ ครูคืออาชีพๆ หนึ่ง ที่แม้จะมีบางคนที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูอยู่จริง แต่ก็มีครูจำนวนไม่น้อย ที่ยังแยกระหว่างดีชั่วไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องวิชาการที่สอนนักเรียน ก็คงจะทำได้ดี ตามมาตรฐานของหน่วยงานที่รับรอง
แต่ในเรื่องศีลธรรมจริยธรรม คงไม่มีอะไรที่จะเข้ามาวัดได้ว่า แต่ละคนมีเรื่องพวกนี้อยู่แค่ไหน เพียงแต่ถ้ามองแบบปลงๆ คือ คนจะดีชั่วมีอยู่ทุกสถาบัน ทุกหน่วยงาน ทุกหย่อมหญ้า แต่มันก็น่าคิด ว่าแล้วเราจะฝากลูกให้อยู่ในความดูแลของคนแบบนี้ได้ยังไง ตรรกะเดียวกับการซื้อหวยซื้อสลากกินแบ่ง อย่างนั้นหรอกรึ ช่างเป็นความอุ่นใจที่การศึกษาไทยให้ได้จริงๆ ค่ะ
คนไทย ขาดการรักษาสิทธิ์
เพราะเราถูกปลูกฝังมาว่า เด็กดีคือเด็กที่ทำตามที่ผู้ใหญ่บอก อย่าเถียง อย่าถาม ทำตามอย่างเดียว อย่าเรื่องมากเรื่องเยอะ อย่าเป็นเด็กมีปัญหา และเด็กๆ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ตัวเขาเอง ไม่รู้ว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด การทำตามที่ผู้ใหญ่สั่ง จึงเป็นทางออกที่ดูจะปลอดภัยที่สุดที่เขาจะคิดออก และนั่นมันก็ไม่เป็นผลดีเอาเสียเลยค่ะ
การบังคับตัดสิน ใส่เครื่องแบบ ตัดเล็บ และกฎระเบียบอีกมากมาย ที่จงใจละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคลของเด็ก อาจจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่กลายเป็นชนวนให้คนเลวใช้ข้ออ้างนี้มาละเมิดสิทธิ์อื่นๆ ของเด็กๆ อีกก็เป็นได้ เพราะการให้อำนาจที่มากเกินไปของคุณครู เช่น การลงโทษเด็กๆ ด้วยการกร้อนผม ด้วยการลงโทษให้วิ่งรอบสนาม มันก็คือการลุกล้ำร่างกายของเด็กๆ ด้วยเช่นกัน
สังคมไทย เก่งแต่กับเด็ก
การตัดผมให้เหมือนกันสำหรับนักเรียนไทย ยังไม่มีเหตุผลที่แข็งแรงเพียงพอ เครื่องแบบนักเรียนก็เช่นกัน การลงโทษที่แรงเกินไปและละเมิดสิทธิ์เด็กเกินไปก็พบเห็นได้บ่อย เหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไรในสังคม
ขอให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ลองคิดภาพที่ทำงานเป็นเหมือนโรงเรียนดูสิคะ หัวหน้างานสามารถลงโทษด้วยการกร้อนผมคุณได้ หรือประจานคุณต่อหน้าพนักงานทั้งบริษัทได้ แม้ว่าความผิดคุณจะไม่ได้ใหญ่โตเลยก็ตาม หัวหน้าสามารถลงโทษด้วยการตีคุณได้หลายๆ ครั้ง แม้สาเหตุจะเป็นเพียงแค่การชงกาแฟไม่ถูกใจ หรือส่งงานช้าเกินไปแค่ 5 นาทีเท่านั้น
มันก็คงรู้สึกเหมือนกับเด็กๆ ตอนที่อยู่ในโรงเรียนนี่แหละ ไม่ได้ต่างกันเลย แต่จะแก้ปัญหานี้ได้ยังไง คงต้องมีการเคลื่อนไหวจากพ่อแม่เป็นสำคัญค่ะ
บทความอื่นที่น่าสนใจ
รวมวิธีลงโทษลูกได้ผลดีแบบไม่ต้องลงมือตี!!!