เมื่อไม่นานมานี้ มีเรื่องราวที่ค่อนข้างเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในต่างประเทศ โดยเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านตนเอง แต่แล้วเขากลับเห็น หนูน้อยสู้ชีวิต ที่ หิ้วถุงเก็บขยะริมถนน ก่อนที่เขาจะเข้าไปถามไถ่ จึงได้พบว่าหนูน้อยคนดังกล่าวไม่ได้ยากจนอย่างที่คิด
โดยชาวคนดังกล่าวเล่าว่าขณะที่ตนเองกำลังนั่งเล่นอยู่บริเวณหน้าอพาร์ทเมนต์ ก็บังเอิญเห็นเด็กชายคนดังกล่าว ที่กำลังแบกถุงกระสอบขนาดใหญ่เพื่อเก็บขยะ โดยคาดว่าน่าจะกำลังค้นหาขวดและพลาสติกเพื่อนำไปขายแลกเงิน ซึ่งที่คอห้อยป้ายชื่อ แต่เนื้อตัวของเด็กกลับดูสะอาดสะอ้าน ซึ่งเมื่อชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงมอบขวดพลาสติกที่ไม่มีเครื่องดื่มแล้ว จำนวน 2 ขวด ให้ใส่รวมลงไปในถุงกระสอบ ก่อนที่จะถามไถ่ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของหนูน้อยคนดังกล่าว แต่เด็กชายกลับบอกว่าที่ต้องมาทำแบบนี้เป็นเพราะถูกพ่อลงโทษ
เด็กชายได้เล่าว่า เพราะเขาขี้เกียจเกินกว่าจะเรียน จึงถูกลงโทษให้มาเก็บขยะเช่นนี้ และพอบอกพ่อแม่ว่าจะไม่เรียน พ่อแม่จึงให้เขาเริ่มธุรกิจโดยการเก็บขวดหาเลี้ยงชีพ “ถ้าปฏิเสธที่จะเรียน พ่อแม่จะส่งไปเก็บขยะ ไม่เรียนก็ควรเก็บขยะ ตอนนี้กลับไปเรียนไม่ได้แล้ว” เพื่อเป็นการสอนบทเรียนชีวิตให้แก่เขา และเมื่อชายหนุ่มได้ฟังเรื่องราวจึงแนะนำให้เด็กชายกลับไปขอโทษพ่อแม่และกลับไปตั้งใจเรียนให้ดี
ซึ่งชาวเน็ตหลายคนได้เห็นด้วยกับแนวทางของพ่อแม่ ที่ต้องเลี้ยงดูอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้เสียนิสัย แต่หลายคนก็กลับแสดงความเป็นห่วง ที่อาจทำให้ลูกตกอยู่ในอันตรายเมื่อออกมาเดินในที่สาธารณะคนเดียวเช่นนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้วต้องไม่ลืมย้อนกลับไปมองที่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ว่าใส่ใจลูกได้อย่างดีพอไหม เพราะปัญหาเด็กขี้เกียจ ไม่อยากไปโรงเรียนอาจจะมีสาเหตุมาจากอย่างอื่นได้
ขอขอบคุณที่มา : soha.vn, sanook.com
ลูกเป็นเด็กขี้เกียจ จึงลงโทษให้ หิ้วถุงเก็บขยะริมถนน เหมาะสมแล้ว?
การลงโทษลูกด้วยการให้หิ้วถุงเก็บขยะริมถนนเป็นการลงโทษที่ต้องพิจารณาหลายแง่มุม ไม่ใช่เรื่องที่ถูกหรือผิดอย่างสิ้นเชิง แต่มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณา ดังนี้
ข้อดีที่อาจเกิดขึ้น
- สอนให้รู้จักทำงาน: การให้ลูกช่วยทำงานบ้านหรือกิจกรรมที่ดูแลความสะอาด จะช่วยให้ลูกรู้จักรับผิดชอบและเห็นคุณค่าของการทำงาน
- สอนให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น: การเก็บขยะริมถนนเป็นการช่วยเหลือชุมชนและสิ่งแวดล้อม ทำให้ลูกรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและมีจิตสำนึกที่ดี
- ลดพฤติกรรมขี้เกียจ: การลงโทษอาจช่วยให้ลูกตระหนักถึงผลของการขี้เกียจและพยายามปรับปรุงพฤติกรรม
ข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น
- ส่งผลกระทบต่อจิตใจ: การให้ลูกทำงานที่อาจเป็นที่อับอายหรือดูถูกได้ อาจส่งผลเสียต่อความรู้สึกนับถือตนเองและความมั่นใจของลูก
- ไม่สอดคล้องกับพัฒนาการ: การลงโทษควรสอดคล้องกับพัฒนาการและความเข้าใจของเด็ก หากเด็กยังเล็กเกินไปอาจไม่เข้าใจเหตุผลของการลงโทษ
- อาจส่งผลให้เด็กกลัวการทำงาน: หากการลงโทษมีความรุนแรงหรือบ่อยเกินไป อาจทำให้เด็กกลัวการทำงานและไม่เต็มใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
สิ่งที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม
- วัยของเด็ก: เด็กแต่ละวัยมีความเข้าใจและรับผิดชอบแตกต่างกัน การลงโทษควรเหมาะสมกับวัยของเด็ก
- เหตุผลของการขี้เกียจ: ควรหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ลูกขี้เกียจ เช่น งานที่ได้รับมอบหมายยากเกินไป หรือขาดแรงจูงใจ
- วิธีการสื่อสาร: การสื่อสารกับลูกอย่างเปิดใจและอธิบายเหตุผลของการลงโทษอย่างชัดเจน จะช่วยให้ลูกเข้าใจและยอมรับการลงโทษได้ดีขึ้น
- มีทางเลือกอื่นหรือไม่: นอกจากการลงโทษด้วยการทำงาน ยังมีวิธีการอื่นๆ ที่สามารถใช้ในการแก้ไขพฤติกรรมของลูก เช่น การให้รางวัลเมื่อลูกทำดี หรือการให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับงานที่ต้องทำ
การลงโทษลูกด้วยการให้หิ้วถุงเก็บขยะริมถนนอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดเสมอไป ควรพิจารณาถึงผลดีผลเสียและเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับลูกแต่ละคน การสื่อสารที่เปิดใจและการให้โอกาสลูกได้แก้ไขตัวเอง จะเป็นวิธีที่ดีกว่าในการช่วยให้ลูกเติบโตเป็นคนดี
ปัญหาลูกขี้เกียจเรียน เกิดจากอะไร ?
ปัญหาลูกขี้เกียจเรียนเป็นปัญหาที่พ่อแม่หลายคนกังวลใจ สาเหตุที่ทำให้เด็กขี้เกียจเรียนนั้นมีหลายปัจจัยค่ะ อาจเกิดจากปัจจัยภายในตัวเด็กเอง หรือปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของเด็กได้ ดังนี้
ปัจจัยภายในตัวเด็ก
- ความสนใจ: เด็กอาจขาดความสนใจในวิชาเรียนบางวิชา หรือรู้สึกว่าเนื้อหาเรียนยากเกินไป ทำให้ขาดแรงจูงใจในการเรียน
- ความมั่นใจ: เด็กที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง อาจกลัวที่จะทำผิดหรือกลัวการสอบตก ทำให้ไม่อยากพยายามเรียน
- ปัญหาสุขภาพ: ปัญหาสุขภาพ เช่น การนอนไม่พอ การเจ็บป่วยเรื้อรัง หรือภาวะซึมเศร้า อาจส่งผลต่อสมาธิและความสามารถในการเรียนรู้ของเด็ก
- สไตล์การเรียนรู้: แต่ละคนมีสไตล์การเรียนรู้ที่แตกต่างกัน หากวิธีการสอนในโรงเรียนไม่ตรงกับสไตล์การเรียนรู้ของเด็ก ก็อาจทำให้เด็กรู้สึกเบื่อหน่ายและขาดความสนใจ
- ความผิดปกติทางการเรียนรู้: บางครั้งเด็กขี้เกียจเรียนอาจเกิดจากความผิดปกติทางการเรียนรู้ เช่น ดิสเล็กเซีย หรือเอดีเอชดี ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการอ่าน เขียน หรือจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานาน
ปัจจัยภายนอก
- สภาพแวดล้อมในการเรียน: สภาพแวดล้อมในการเรียนที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ห้องเรียนที่ร้อนหรือเย็นเกินไป เสียงดังรบกวน หรือเพื่อนร่วมชั้นที่รบกวนการเรียน อาจส่งผลต่อความสนใจในการเรียนของเด็ก
- ความสัมพันธ์กับครู: ความสัมพันธ์ที่ดีกับครูจะช่วยให้เด็กเกิดแรงบันดาลใจในการเรียน แต่หากเด็กมีความขัดแย้งกับครู อาจทำให้เด็กไม่อยากไปโรงเรียนและขาดความสนใจในการเรียน
- สภาพแวดล้อมที่บ้าน: สภาพแวดล้อมที่บ้านมีผลต่อพฤติกรรมของเด็กอย่างมาก หากที่บ้านมีบรรยากาศที่วุ่นวาย หรือพ่อแม่ให้ความสำคัญกับการเรียนน้อยเกินไป อาจทำให้เด็กขาดแรงจูงใจในการเรียน
- การเปรียบเทียบ: การเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น ๆ อาจทำให้เด็กรู้สึกกดดันและสูญเสียความมั่นใจ ทำให้ไม่อยากพยายามเรียน
วิธีแก้ไขปัญหา
- พูดคุยกับลูก: พูดคุยกับลูกอย่างเปิดใจ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ลูกขี้เกียจเรียน
- ช่วยเหลือลูกในการเรียน: ช่วยลูกทำการบ้าน ตรวจสอบการบ้าน และให้คำแนะนำในการเรียน
- สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่บ้าน: สร้างมุมสำหรับการเรียนรู้ที่บ้าน และจัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนที่จำเป็น
- ให้กำลังใจและชื่นชม: ชื่นชมความพยายามของลูก แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
- ปรึกษาครู: ปรึกษาครูเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูก เพื่อขอคำแนะนำในการแก้ไขปัญหา
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากปัญหาของลูกรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยาเด็ก หรือแพทย์
สิ่งสำคัญที่สุดคือ พ่อแม่ต้องอดทนและให้กำลังใจลูกเสมอ การแก้ไขปัญหาเด็กขี้เกียจเรียนอาจต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่หากพ่อแม่ให้ความรักและการดูแลอย่างเหมาะสม ลูกก็จะสามารถปรับปรุงพฤติกรรมและกลับมาสนใจการเรียนได้
สิ่งที่พ่อแม่ที่ดีควรทำ เมื่อลูกขี้เกียจเรียน ไม่อยากไปโรงเรียน
เมื่อลูกขี้เกียจเรียนและไม่อยากไปโรงเรียน เป็นเรื่องที่พ่อแม่หลายคนกังวลใจ สิ่งสำคัญคือการหาสาเหตุที่แท้จริงและเข้าใจความรู้สึกของลูก เพื่อจะได้ช่วยเหลือลูกได้อย่างเหมาะสม
สิ่งที่พ่อแม่ที่ดีควรทำ
- เปิดใจคุยกัน: สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและปลอดภัย เพื่อให้ลูกกล้าเปิดใจพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกและปัญหาที่เกิดขึ้น อาจจะลองถามคำถามเปิด เช่น “ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไรที่ทำให้ลูกไม่สบายใจหรือไม่?” “ลูกรู้สึกยังไงกับการไปโรงเรียนบ้าง?”
- ฟังอย่างตั้งใจ: ฟังลูกอย่างตั้งใจ ไม่ตัดสิน และพยายามเข้าใจมุมมองของลูกให้มากที่สุด
- หาสาเหตุ: พยายามหาสาเหตุที่แท้จริงว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ลูกไม่อยากไปโรงเรียน อาจเป็นเพราะปัญหาเรื่องการเรียน การเข้าสังคมกับเพื่อน หรือปัญหาส่วนตัวอื่น ๆ
- ร่วมกันหาทางออก: เมื่อทราบสาเหตุแล้ว ให้ร่วมกันหาทางออกกับลูก อาจจะลองปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ใหม่ ๆ หรือหาคนช่วยสอนเพิ่มเติม
- ให้กำลังใจและชื่นชม: ชื่นชมในความพยายามของลูก แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม เพื่อสร้างความมั่นใจและกระตุ้นให้ลูกอยากพยายามมากขึ้น
- ไม่เปรียบเทียบ: หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น ๆ เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกกดดันและเสียความมั่นใจ
- สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่บ้าน: สร้างมุมสำหรับการเรียนรู้ที่บ้าน และจัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนที่จำเป็น เพื่อให้ลูกได้สัมผัสบรรยากาศการเรียนรู้ที่ผ่อนคลาย
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากปัญหาของลูกไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยาเด็ก หรือครูที่ปรึกษา เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
- ดูแลสุขภาพของลูก: ตรวจสอบสุขภาพของลูกเป็นประจำ เพราะปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น การนอนไม่พอ อาจส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ของลูก
- เป็นแบบอย่างที่ดี: พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกเห็นในการอ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- ลงโทษ: การลงโทษจะยิ่งทำให้ลูกกลัวและไม่อยากไปโรงเรียนมากขึ้น
- บังคับ: การบังคับให้ลูกทำอะไรที่ไม่ชอบ จะทำให้ลูกยิ่งต่อต้าน
- ตำหนิ: การตำหนิจะทำให้ลูกเสียความมั่นใจและไม่กล้าที่จะลองทำอะไรใหม่ ๆฃ
สุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือ พ่อแม่ต้องอดทนและให้กำลังใจลูกเสมอ การแก้ไขปัญหาเด็กขี้เกียจเรียนอาจต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่หากพ่อแม่ให้ความรักและการดูแลอย่างเหมาะสม ลูกก็จะสามารถปรับปรุงพฤติกรรมและกลับมาสนใจการเรียนได้
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ปัญหาลูกไม่ทำการบ้าน ลูกไม่ชอบทำการบ้าน เพราะอะไร วิธีแก้ปัญหาลูกไม่ทำการบ้าน
ลูกเป็นโรคแอลดี LD คือ ? รักษาได้หรือไม่ ทำยังไงดีเมื่อลูกเป็นเด็ก LD
วิธีแก้ปัญหาลูกไม่อยากไปโรงเรียน เตรียมลูกเข้าโรงเรียนอนุบาล การสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน