เด็ก 2 ขวบ ติดเชื้อซิฟิลิสแบบไม่แสดงอาการ ภัยจากคุณยาย

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

เด็ก 2 ขวบ ติดเชื้อซิฟิลิสแบบไม่แสดงอาการ สันนิษฐานว่า น่าจะติดเชื้อจากการสัมผัสกับแผลซิฟิลิสที่มือของผู้ดูแล ซึ่งในกรณีนี้ ชี้ไปที่ “คุณยาย” โดยคุณยาย อาจติดเชื้อซิฟิลิสแบบไม่แสดงอาการเช่นกัน โดยไม่มีแผลหรือตุ่มให้เห็น แต่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นผ่านการสัมผัส ภัยเงียบที่มาถึงครอบครัวของคุณแบบไม่ทันตั้งตัว

 

เด็ก 2 ขวบ ติดเชื้อซิฟิลิสแบบไม่แสดงอาการ ได้อย่างไร

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ Hangzhou Daily เด็กชายวัย 2 ขวบในเมืองหางโจ มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน เข้ารับการตรวจเลือดก่อนผ่าตัดเล็กกับแม่ที่โรงพยาบาลในเดือนมีนาคม ผลตรวจเลือดพบว่าเด็กชายติดเชื้อซิฟิลิส หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

 

ส่วนใหญ่แล้วการติดเชื้อซิฟิลิสในเด็กมักเกิดจากพ่อแม่ จึงเกิดเหตุทะเลาะกันอย่างรุนแรง เกือบจะถึงขั้นแตกหัก อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจของพ่อแม่เด็กชายออกมาเป็นลบ แพทย์จึงทำการสอบถามประวัติทางเพศของสมาชิกในครอบครัว รวมไปถึงส่งตรวจหาเชื้อในผู้ใหญ่ทุกคน ผลลัพธ์พบว่า คุณยายของเด็กชายเป็นผู้ติดเชื้อซิฟิลิส และคาดว่าเธอเป็นผู้แพร่เชื้อให้กับหลานชายผ่านพฤติกรรมบางอย่าง

 

โดยพ่อของเด็กชายบอกแพทย์อีกว่า ยายชอบเคี้ยวอาหารให้หลานกินเป็นประจำ “เราบอกยายหลายครั้งแล้ว แต่ยายไม่ยอมเลิก” เขาสงสัยว่านิสัยนี้อาจเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อซิฟิลิสของลูกชาย

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

แพทย์จึงได้อธิบายว่า แหล่งที่มาของการติดเชื้อซิฟิลิสเพียงแหล่งเดียวคือผู้ป่วยซิฟิลิส และซิฟิลิสมักแพร่กระจายผ่านเพศสัมพันธ์ แม่สู่ลูก และเลือดต่อเลือด การติดเชื้อโดยอ้อมมีโอกาสน้อยมาก เว้นแต่จะอยู่ในสถานการณ์ที่พิเศษมาก แพทย์จึงสันนิษฐานว่า นิสัยการเลี้ยงดูของยาย “อาจทำให้เกิดการติดเชื้อโดยอ้อม” ได้ เช่น โรคจากเหงือก หรือน้ำลายปนเปื้อนอาหารในระหว่างการเคี้ยว เด็กอาจติดเชื้อซิฟิลิสเมื่อรับประทานอาหาร

 

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความน่ากังวลเกี่ยวกับการติดต่อเชื้อซิฟิลิสในเด็ก ซึ่งมักเกิดขึ้นจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ กรณีนี้ยังเป็นข้อเตือนใจให้ผู้ปกครองควรระมัดระวังพฤติกรรมของบุคคลที่ใกล้ชิดกับเด็ก และควรพาเด็กไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ที่มา: www.mirrormedia.mg

 

 

โรคซิฟิลิสคือโรคอะไร

ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ที่เกิดจากแบคทีเรีย Treponema pallidum ผู้ป่วยอาจติดเชื้อซิฟิลิสแบบไม่แสดงอาการในระยะแรก ทำให้เชื้อสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว โดยสาเหตุของโรคซิฟิลิสนั้นมาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก รวมถึงการสัมผัสกับแผลของผู้ติดเชื้อ และแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์หรือคลอดบุตรด้วย

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

อาการของโรคซิฟิลิส

หลายคนไม่รู้ตัวว่าเป็นซิฟิลิส เพราะการติดเชื้อซิฟิลิสแบบไม่แสดงอาการ หรืออาการที่ปรากฏนั้นไม่ชัดเจน โรคนี้หากไม่ได้รับการรักษาจะคงอยู่เรื้อรังเป็นปี ๆ ซิฟิลิสแบ่งเป็นระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 (ระยะแรก)

  • มักใช้เวลาประมาณ 21 วันหลังสัมผัสเชื้อ
  • มีแผลริมอ่อน (แผลแข็ง) ลักษณะกลม ไม่เจ็บ ปรากฏที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือที่อื่นๆ
  • แผลริมอ่อนอาจมองไม่เห็นและจะหายเองภายใน 3-10 วัน
  • หากไม่ได้รับการรักษา จะดำเนินไปสู่ระยะที่ 2

ระยะที่ 2

  • มีผื่นที่ไม่คัน มักขึ้นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า
  • มีรอยโรคสีขาวหรือสีเทาปรากฏในบริเวณที่อบอุ่นและชื้น เช่น ริมฝีปาก ทวารหนัก บริเวณแผลริมอ่อน
  • อาการเหล่านี้จะหายไปเองแม้ไม่ได้รับการรักษา

ระยะแฝง

  • มักไม่มีอาการ
  • หากไม่ได้รับการรักษา จะดำเนินไปสู่ระยะที่ 3 (ระยะสุดท้าย) ของซิฟิลิสหลังจากผ่านไปหลายปี
  • ซิฟิลิสระยะแฝงหากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่โรคสมอง โรคหัวใจ และปัญหาอื่น ๆ

บทความที่น่าสนใจ: 6 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พร้อมวิธีการป้องกัน ทำอย่างไรให้ไม่ติดโรค?

 

 

การวินิจฉัยโรคซิฟิลิส ทำอย่างไรได้บ้าง

  • ประวัติทางคลินิกและทางเพศ: แพทย์จะซักถามเกี่ยวกับอาการ ลักษณะแผล ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
  • การตรวจร่างกาย: แพทย์จะตรวจร่างกายทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ เพื่อหาแผล ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่น หรือรอยโรคอื่นๆ
  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: มีหลายวิธีที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อซิฟิลิส วิธีที่พบบ่อย ได้แก่
    • การตรวจหาเชื้อแบคทีเรียโดยตรง: แพทย์จะเก็บตัวอย่างจากแผล ต่อมน้ำเหลือง หรือเลือด นำไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ด้วยกล้องจุลทรรศน์พิเศษ
    • การตรวจเลือด: การตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ Treponema pallidum ในเลือด วิธีนี้สามารถใช้ตรวจหาเชื้อได้แม้จะไม่มีอาการ
    • การตรวจรวดเร็ว: มีการตรวจรวดเร็วแบบต่างๆ ที่สามารถให้ผลลัพธ์ได้ภายในไม่กี่นาที การตรวจเหล่านี้มีประโยชน์ในการคัดกรองเบื้องต้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้ควรได้รับการยืนยันด้วยวิธีการตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม
  • การตรวจทางรังสีวิทยา: ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีทางรังสีวิทยา เช่น เอกซเรย์ CT scan หรือ MRI เพื่อหาความเสียหายของอวัยวะภายในจากการติดเชื้อซิฟิลิส

 

วินิจฉัยโรคซิฟิลิสแต่กำเนิด ได้หรือไม่

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคซิฟิลิสแต่กำเนิดโดยเฉพาะ แต่ทารกที่คลอดจากมารดาที่เป็นโรคซิฟิลิส ควรได้รับการตรวจหาเชื้อซิฟิลิส โดยวิธีการดังต่อไปนี้

  • การตรวจทางคลินิก: แพทย์จะตรวจร่างกายทารกเพื่อหาสัญญาณของโรคซิฟิลิส เช่น ผื่น แผล หรือตับโต
  • การตรวจทางรังสีวิทยา: แพทย์อาจสั่งตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีทางรังสีวิทยา เช่น เอกซเรย์ CT scan หรือ MRI เพื่อหาความเสียหายของอวัยวะภายในจากการติดเชื้อซิฟิลิส
  • การตรวจเลือด: เก็บตัวอย่างเลือดจากทารกเพื่อหาแอนติบอดีต่อเชื้อ Treponema pallidum

หากผลการตรวจพบว่าทารกติดเชื้อซิฟิลิส ทารกจะต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทันที การรักษาเร็วจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงจากโรคซิฟิลิส

 

เชื้อซิฟิลิส สามารถหายเองได้ไหม

เชื้อซิฟิลิส ไม่สามารถหายเองได้ ถึงแม้ว่าแผลที่เกิดขึ้นในระยะแรกจะหายไปเองได้ภายใน 3-6 สัปดาห์ แต่เชื้อซิฟิลิสจะยังคงอยู่ในร่างกายและพัฒนาเป็นระยะต่อไป หากไม่ได้รับการรักษา โรคซิฟิลิสจะดำเนินไปเป็นระยะแฝง ซึ่งผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ แสดง แต่เชื้อซิฟิลิสจะยังคงอยู่ในร่างกายและสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ในระยะแฝง เชื้อซิฟิลิสอาจกลับมาแสดงอาการอีกครั้งได้ (secondary syphilis) หรืออาจลุกลามไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย (tertiary syphilis) ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงถึงชีวิต ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา ทันทีที่สงสัยว่าตนเองติดเชื้อซิฟิลิส การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะสามารถรักษาโรคซิฟิลิสให้หายขาดได้

 

 

โรคซิฟิลิส รักษายังไง

โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากสงสัยว่าตนเองเป็นโรคซิฟิลิส ควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด โดยสามารถแบ่งระยะการรักษาได้ดังต่อไปนี้

การรักษาโรคซิฟิลิสในระยะเริ่มต้น

ยาที่ใช้รักษาโรคซิฟิลิสในระยะเริ่มต้นคือ เบนซาทีน เพนิซิลลิน (BPG) โดยทั่วไปจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพียงครั้งเดียว BPG เป็นยาทางเลือกแรกสำหรับการรักษาโรคซิฟิลิส และเป็นยาเดียวที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคซิฟิลิส ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะชนิดอื่น เช่น doxycycline, ceftriaxone หรือ azithromycin แทน BPG ได้

การรักษาโรคซิฟิลิสในระยะต่อมา

BPG ยังใช้รักษาโรคซิฟิลิสในระยะต่อมาได้เช่นกัน แต่ต้องใช้ยาในปริมาณที่มากกว่าการรักษาในระยะเริ่มต้น โดยทั่วไปจะให้ยา BPG ทางกล้ามเนื้อ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ แพทย์อาจสั่งยา BPG ในปริมาณที่มากกว่าหรือระยะเวลาที่นานกว่านี้ ขึ้นอยู่กับระยะของโรค สุขภาพโดยรวม และปัจจัยอื่น ๆ

การป้องกันการติดต่อซิฟิลิสจากแม่สู่ลูก

การรักษาด้วย BPG ยังสามารถป้องกันการติดต่อซิฟิลิสจากแม่สู่ลูกได้ ทารกที่เกิดมาพร้อมกับโรคซิฟิลิส (ซิฟิลิสแต่กำเนิด) หรือทารกที่คลอดจากแม่ที่เป็นโรคซิฟิลิสแต่ไม่ได้รับการรักษา จะต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง

 

ดังนั้น ถึงแม้ว่าการเคี้ยวอาหารให้เด็กจะสะดวก แต่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรใช้วิธีการอื่น ๆ ที่ปลอดภัยกว่า เช่น ป้อนอาหารข้น ให้อาหารชิ้นเล็ก ๆ หรือใช้อุปกรณ์ช่วยป้อนอาหาร และควรคำนึงถึงสุขอนามัยที่ดีเสมอ

 

ที่มา: www.who.int

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

จับตา 5 โรคติดต่อ ที่มีแนวโน้มระบาดปี 2567 เด็กเล็ก-คนท้องต้องระวัง!

โรคติดต่อ RSV เด็กไทยป่วยเพิ่มขึ้น ป่วยซ้ำเกือบทุกปี ควรป้องกันอย่างไร ?

เริมที่ปาก อาการเป็นอย่างไร เป็นโรคติดต่อหรือไม่ วิธีการรักษาเริมที่ปาก

บทความโดย

Siriluck Chanakit