จากกรณีประเด็นดรามาแบบเรียน ภาษาพาที ระดับชั้น ป.5 ที่พูดถึงเรื่องโภชนาการของเด็ก โดยมีเนื้อหาว่า “กินไข่ต้มครึ่งซีก เหยาะน้ำปลา หรือข้าวเปล่าคลุกข้าวผัด ผักบุ้ง” ทำให้หลายคนตั้งคำถามเกี่ยวกับการ romanticize เรื่องของความจน เพราะในหนังสือทำให้ตัวละครมีความสุขกับการกินอยู่แบบนี้ถือว่าเป็นความพอเพียง เป็นการเห็นคุณค่าของชีวิต แต่ในโลกความเป็นจริงเกรงว่าเด็ก ๆ จะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อการพัฒนาการตามช่วงวัย
หลังจากที่มีดรามากันอยู่หลายวัน วันนี้ 24 เมษายน 2566 มีรายงานว่า นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พอรับทราบถึงเสียงสะท้อนจากคนในสังคมก็ได้สั่งตรวจสอบเนื้อหาในตำราเรียน ภาษาพาที ป.5 พร้อมสั่งการให้คณะกรรมการ สำนักวิชาการ หารือกับผู้เขียนเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาเพื่อการสื่อสารให้ชัดเจนเรื่องโภชนาการอาหารใหม่ เกี่ยวกับประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าให้เด็กกินข้าวไข่ต้มครึ่งซีกคลุกน้ำปลาถือเป็นอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ และหลังจากนี้จะมีการเติมข้อความย้ำว่าเป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้นเข้าไปด้วย
ซึ่งประเด็นการถกเกี่ยวกับเรื่อง “ไข่ต้ม” ก็ได้มีคนนักวิชาการและผู้ชื่อเสียง ออกมาสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เริ่มที่ นพ.จิรรุจน์ ชมเชย กุมารแพทย์เชี่ยวชาญโรคระบบหายใจ กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Jiraruj Praise โดยระบุว่า
“ ไข่ครึ่งซีก + ข้าวคลุกน้ำปลาอร่อยที่สุดในโลก ”
โภชนาการวัยเรียนแบบนี้ได้จริง ๆ หรือ
สิ่งสำคัญในอาหารที่เด็กควรได้ ไม่ใช่เรื่องของ “พลังงาน” หรือแค่อิ่มท้องอย่างเดียว แต่สิ่งสำคัญนั้น คือ “โปรตีน” ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของสมอง กล้ามเนื้อ และการทำงานของเอนไซม์ในระบบต่างๆ ของร่างกาย”
“ยังมีเรื่องของวิตามิน แร่ธาตุที่สำคัญที่ไม่ควรขาดในเด็กอีก อาหาร จึงไม่ใช่เพียง “แค่อิ่มท้อง” หรือ “แค่อร่อยปาก” แต่อาหารที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตพัฒนาการทางสมอง ระบบภูมิคุ้มกัน
“ถ้าวิสัยทัศน์มีเพียงแค่ “อิ่มท้อง” “สุขใจ” แต่ไม่มองให้เห็นถึง สารอาหาร ที่จำเป็นต่อเด็กของเรา นี่คือเรื่องน่ากังวลมากๆ สำหรับ “อนาคตของชาติ” ภายใต้การกำหนดทิศทางการศึกษาจากคนบางกลุ่มที่ยังล้าหลังของบ้านเราแบบนี้”
ด้าน แพรรี่ – ไพรวัลย์ วรรณบุตร ก็ได้ออกมาโพสต์สะท้อนเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยอิงจากประสบการณ์ที่เคยเจอมาเพียงสั้น ๆ ว่า
“ ดิฉันเคยโตมาด้วยการกินไข่ต้ม 1 ลูกแบ่งกัน 3 คน ดิฉันจึงอยากบอกว่า การกินหลากหลายจำเป็นมากค่ะ และการขาดสารอาหารตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่เรื่องโรแมนติกเลย จบ ”
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ที่ออกมาสะท้อนเกี่ยวกับแบบเรียน ภาษาพาที ป.5 และจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ทำให้เราได้เห็นแง่มุมที่หลากหลาย โดยเฉพาะเรื่องความคิดและทัศนคติของผู้ใหญ่ที่ออกแบบบทเรียนอีกด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง : แนะนำ 10 หนังสือเด็ก เสริมสร้างพัฒนาการเด็ก พร้อมฝึกอ่านออกเสียง
หนังสือภาษาพาที คืออะไร ?
ภาษาพาที เป็นชุดหนังสือเรียนภาษาไทยพื้นฐาน สำหรับเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 โดยจัดการขึ้นจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ทักษะภาษาไทยขั้นพื้นฐาน รวมถึงการปลูกสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับเด็ก ๆ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 หรือเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซึ่งหนังสือชุดภาษาพาที เป็นหนังสือเรียนที่ทำต่อมาจากชุด ‘ภาษาเพื่อชีวิต’ ตามแนวทางหลักสูตรฯ ปี พ.ศ. 2544 หรือย้อนไปอีก 22 ปีก่อน
วัตถุประสงค์ของชุดหนังสือเรียนภาษาพาที
1. หนังสือภาษาพาที เน้นการอ่าน การฟัง การเขียน และการพูด
อย่างที่เราได้เกริ่นไปข้างต้นนะคะว่าหนังสือชุดภาษาพาทีเริ่มเรียนตั้งแต่ระดับชั้น ป.1 ซึ่งเนื้อหาภายในเล่มจะไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก พร้อมภาพประกอบแบบสีทั้งเล่ม ทั้งนี้ก็เพื่อฝึกให้เด็ก ๆ ได้หัดอ่านออกเสียง พร้อมดูภาพประกอบไปด้วยเพื่อเพิ่มความเข้าใจของเนื้อเรื่อง
2. ภาษาพาที เป็นหนังสือที่มุ่งเน้นภูมิปัญญาทางภาษา
สำหรับใครที่เคยเรียนภาษาไทยผ่านหนังสือชุดภาษาพาทีน่าจะเห็นได้ชัดว่าภายในเล่มส่วนใหญ่เน้นเรื่องภูมิปัญญาทางภาษา ภายในเรื่องจึงถูกถ่ายทอดไปด้วยคำพูดง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เพื่อให้เด็ก ๆ ได้พัฒนาทักษะทางภาษาให้เหมาะสมกับวัยของพวกเขา นอกจากนี้ยังช่วยปลูกฝังวัฒนธรรมทางภาษาความเป็นไทย และเน้นย้ำเรื่องของความเป็นคนดีของสังคมอีกด้วย
สุดท้ายนี้การวิจารณ์หนังสือไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก หากจำกันได้ในช่วงปี 2563 ก็เคยมี #Saveเกี้ยว ขึ้นมาแล้ว จากหนังสือเรียนภาษาไทย ภาษาพาที ของนักเรียนชั้น ป.6 บทที่ 14 เรื่อง “ เสียแล้วไม่กลับคืน ” โดยในเนื้อหาได้ระบุเอาไว้ว่า
“ เกี้ยวใจแตกมาตั้งแต่ยังไม่มีคำนำหน้าว่านางสาว ตามีไว้ดูโทรทัศน์ ปากมีไว้กิน และพูดเรื่องไร้สาระ หูมีไว้แนบกับโทรศัพท์มือถือแทบไม่เคยห่าง ตอนกลางวัน เกี้ยวหนีโรงเรียนไปเที่ยวตามศูนย์การค้า กลางดึกก็หนีออกจากบ้านไปเที่ยวผับ… ”
โดยหนังสือพยายามสื่อถึงการรักนวลสงวนตัวไม่ชิงสุกก่อนห่าม แต่หากมองอีกมุมนึงมันก็เหมือนย้อนกลับมาด้อยค่าของผู้หญิง ต้องปฏิบัติตัวตามกรอบที่ผู้ใหญ่วางเอาไว้ ปฎิบัติตัวตามสังคมคาดหวัง จึงเกิดการถกเถียงขึ้นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ สิทธิมนุษยชน รวมไปจนถึงความแตกต่างของคนในสังคม
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
10 หนังสือพัฒนาการเด็ก ตั้งแต่ ทารก – อนุบาล เสริมทักษะได้รอบด้าน !
สอนลูกเขียนภาษาไทย คำไทยยาก ๆ ก-ฮ เขียนคำไทยให้ถูกต้อง
เทคนิคฝึกลูกเรียนรู้สระ อ่านออกเขียนได้ ฝึกได้ง่าย ๆ ที่บ้าน
ที่มา :