10 เรื่องจริงที่น่ามหัศจรรย์ของ DHA ที่คุณแม่อาจยังไม่เคยรู้
80% ของสมองพัฒนาใน 1,365 วันแรก ซึ่งสารอาหารที่สำคัญต่อสมองนั่นก็คือ DHA 10 เรื่องจริงที่น่ามหัศจรรย์ของ DHA ที่คุณแม่อาจยังไม่เคยรู้
1. DHA คืออาหารของสมองและจอประสาทตา
DHA มีความสำคัญต่อพัฒนาการของสมองและสายตา ตั้งแต่ทารกในครรภ์ไปจนถึงวัยสูงอายุ แต่ปัจจุบันกลับพบว่าอาหารที่คนส่วนใหญ่บริโภคนั้นมีปริมาณ DHA น้อยลง จนทำให้เกิดปัญหาของสมองและสายตาในวัยต่างๆ
เป็นกรดไขมันที่พบในสมอง 40% และในจอประสาทตา 60% เด็กจึงควรได้รับสารอาหารที่มี DHA อย่างต่อเนื่องและมากพอเพื่อช่วยให้สมองและสายตาได้ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างมีประสิทธิภาพ
2. ร่างกายสร้าง DHA ไม่ได้ ต้องได้รับจากการทานอาหารเท่านั้น
ร่างกายคนไม่สามารถสร้าง DHA ขึ้นเองได้ คุณแม่จึงควรเสริม DHA ให้ลูกด้วยการทานอาหารที่อุดมไปด้วย DHA ตั้งแต่ตั้งครรภ์
ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการรับรองมาตรฐานการผลิต ทำให้มั่นใจในการตรวจวิเคราะห์ว่าปราศจากสารปนเปื้อน เช่น ปรอท ตะกั่ว สารหนู และเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดโรค เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของทารก เด็ก หญิงตั้งครรภ์ สตรีที่ให้นมบุตร และบุคคลทั่วไป
1. สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกเขตหนาวจากไอซ์แลนด์ที่อุดมไปด้วยกรด Omega-3 โดยเฉพาะ DHA ในปริมาณสูง
2. เป็น Tuna Oil ประกอบด้วย DHA : EPA สัดส่วน 25:7 เพื่อเน้นคุณประโยชน์ของ DHA ในการช่วยเสริมพัฒนาการของสมองและสายตา
3. ผลิตภายใต้มาตรฐานยา ระดับสากล ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก (GMP ของไทย, BfArm ของเยอรมัน, TGA ของออสเตรเลีย) ทำให้มั่นใจในคุณภาพของ DHA ว่าได้ผ่านการคัดสรรและขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคในระยะยาว
3. ทารกมีความต้องการ DHA ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ในเดือนที่สองของการตั้งครรภ์ สมองซีกซ้ายซีกขวาจะเริ่มเจริญเติบโตและแตกสาขาของเส้นประสาท คุณแม่ท้องจึงควรรับประทาน DHA ให้ได้ 200 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อส่งเสริมพัฒนาการสมองลูกตั้งแต่ในครรภ์
ปัญหาของทารกและเด็กที่ได้รับ DHA ไม่เพียงพอ
การมองเห็นของทารกลดลง และอาจก่อให้เกิดโรคตาบอดกลางคืนได้
ระดับ ไอคิว ลดต่ำลง
เด็กมีปัญหาเป็นโรคสมาธิสั้น และขาดการยับยั้งชั่งใจ
มีปัญหาการเรียนรู้ช้า ทั้งการเขียนและการอ่าน
4. อยากให้ลูกสมองดีต้องได้รับ DHA จากน้ำนมแม่ตั้งแต่แรกเกิด
คุณแม่ให้นมบุตรควรทานอาหารที่มี DHA สูง เช่น ปลาทะเล ปลาน้ำจืด หรือนมที่เสริมด้วย DHA เพราะหากคุณแม่ทานอาหารที่มี DHA สูงจะทำให้ปริมาณ DHA ในน้ำนมแม่สูงด้วยเช่นกัน
5. DHA คุณภาพดีต้องมาจากน่านน้ำปลอดมลภาวะ (Zone 81)
DHA บริสุทธิ์และคุณภาพดี ต้องมาจากปลาทูน่าในน่านน้ำปลอดมลภาวะ (Zone 81) เพราะลดโอกาสการปนเปื้อนของสารเคมี
6. ปริมาณ DHA ที่เหมาะสมส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการที่เหนือกว่า
มีงานวิจัยพิสูจน์แล้วว่าเด็กที่ได้รับ DHA 17 ม.ก. และ ARA 34 ม.ก./100 กิโลแคลอรี จะมีระดับสติปัญญา ทักษะการมองเห็น ทักษะการแก้ปัญหา และความสามารถทางด้านภาษาที่ดีกว่า
ในช่วงตั้งครรภ์ ทารกจะได้รับ DHA ผ่านทางรก DHA จะช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด และเมื่อถึงระยะที่สมองเจริญเติบโตสูงสุดในช่วงชีวิต คือ 3 เดือนก่อนและหลังคลอด ทารกจะมีความต้องการ DHA ในปริมาณสูง เพื่อนำไปใช้ในการสร้างและพัฒนาสมอง ระบบประสาท และสายตา จนถึงอายุ 3 ปี จึงถือว่าเป็นโอกาสทองของคุณพ่อคุณแม่ทุกคน ที่จะมอบสารอาหารที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อลูกน้อย เพื่อเตรียมความพร้อมของลูกน้อย ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆในอนาคต ด้วยเหตุนี้หญิงตั้งครรภ์ระหว่าง 25-35 สัปดาห์ และสตรีที่ให้นมบุตร ควรได้รับ DHA ในปริมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน
7. DHA ส่งเสริมความจำและทักษะการแก้ปัญหา
มีการวิจัยพบว่าเด็กที่ได้รับ DHA อย่างต่อเนื่องและเพียงพอ จะมีพัฒนาการสมอง ความสามารถในการจำ และการแก้ปัญหาที่ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้รับ DHA
8. DHA ต่ำเสี่ยงต่อสมาธิสั้น
การศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบว่า การขาด DHA ที่เป็นกรดไขมันจำเป็นต่อสมอง อาจเป็นสาเหตุทำให้มีอาการซึมเศร้า สมาธิสั้น
9. DHA ช่วยให้ลูกมองเห็นได้ดี
ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์จอประสาทตาของลูกจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากลูกได้รับ DHA มาอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อสมองและการมองเห็นอย่างมีประสิทธิภาพของลูก
10. ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค
จากการวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (ปี 2006) พบว่า DHA ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้เด็ก ลดการเจ็บป่วยของเด็กถึง 10%
ที่มา : 1
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ :
https://www.megawecare.co.th/content/
ไข่ไก่ DHA เคล็ดลับง่ายๆ ช่วยลูกสมองดี
เสริมพัฒนาการลูกอย่างรอบด้านด้วย DHA