อะไรคือสาเหตุที่เราไม่ควรนำ แช่มันฝรั่งในตู้เย็น กันนะ??
คุณพ่อบ้านและคุณแม่บ้านทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่า พืชผักชนิดใดที่เราไม่ควรนำไปแช่ตู้เย็นมากที่สุด?…คำตอบก็คือ “มันฝรั่ง” นี่เองละค่ะ
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นคว้าแล้วพบว่า การ แช่มันฝรั่งในตู้เย็น นั้น จะส่งผลให้แป้งในมันฝรั่งนั้น เปลี่ยนเป็นน้ำตาล และเมื่อเรานำมันฝรั่งที่แช่ในตู้เย็นไปปรุงอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการอบ ทอดหรือแม้แต่ปิ้งก็ตาม และเจ้าน้ำตาลที่อยู่ในมันฝรั่ง เมื่อไปทำปฏิกิริยากับกรดอะมิโนจะทำให้เกิดสารตัวหนึ่งที่เราเรียกกันว่า “อะคริลาไมด์”
อะคริลาไมด์ คืออะไร?
สารชนิดนี้ เป็นสารที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารที่ใช้ในการผลิตพลาสติก สีและกระดาษ ซึ่งเราจะสามารถพบได้บ่อยในบรรจุภัณฑ์อาหาร รวมถึงอาหารบางชนิด ยกตัวอย่างเช่น มันฝรั่งทอดและเฟรนฟราย เป็นต้น ซึ่งสารชนิดนี้มักเกิดจากการแปรรูปอาหารที่มีความชื้นต่ำด้วยความร้อนที่สูง
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ สารอะคริลาไมด์นี้นี่แหละที่มีส่วนทำให้เกิดโรคมะเร็งในร่างกายมนุษย์อีกด้วย
ทีนี้คุณพ่อและคุณแม่ก็ทราบถึงสาเหตุแล้วใช่ไหมคะว่า ทำไมเราจึงไม่ควรนำมันฝรั่งไปแช่ในตู้เย็น นอกจากจะทำให้เกิดสารอันตรายดังกล่าวแล้ว การนำมันฝรั่งไปแช่ในตู้เย็น จะยังทำให้มันฝรั่งนั้นสูญเสียรสชาติอีกด้วยนะคะ และวิธีที่เก็บมันฝรั่งที่ดีที่สุดก็คือ เก็บในพื้นที่ ๆ แห้งและเย็นนั่นเองค่ะ
ประโยชน์ของมันฝรั่ง
- หัวมันฝรั่งเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง คือ มีปริมาณของแป้ง โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินบางชนิดอยู่ในเกณฑ์สูง จึงใช้เป็นอาหารประจำวันได้เป็นอย่างดี ซึ่งประชาการในยุโรปและอเมริกาจะรับประทานมันฝรั่งเป็นอาหารหลักแทนข้าว ด้วยวิธีการนำมาต้ม ทอด อบ ฯลฯ[2] นอกจากนี้ยังพบว่าโปรตีนที่ได้จากมันฝรั่งมีคุณภาพสูงกว่าโปรตีนที่ได้จากถั่วลิสงอีกด้วย และด้วยการที่มันฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ทำให้นักโภชนาการเชื่อว่าหากคนที่ติดอยู่บนเกาะร้างปลูกมันฝรั่งไว้กินเป็นอาหารพวกเขาจะไม่มีวันอดตาย และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดกัปตันเรือในสมัยก่อนจึงนิยมบรรทุกมันฝรั่งไว้เป็นเสบียงสำหรับการเดินทาง[5]
- นอกจากจะใช้เป็นอาหารของมนุษย์โดยตรงแล้วยังนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย ด้วยการใช้หัวสดต้มหรือหมักเป็นอาหารของวัว ควาย และสุกร[2]
- มันฝรั่งสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง เช่น การนำมาทำแป้ง นำมาหั่น ๆ บางแล้วทอดกรอบ ทำเป็นขนมขบเคี้ยว ทำน้ำตาลกลูโคสและเดกทริน (ใช้สำหรับทำกาวและสารให้ความเหนียวต่าง ๆ) หรือใช้อุตสาหกรรมการหมักเพื่อผลิตแอลกอฮอล์และกรดซิตริก ล้อยาง พลาสติก ฟิล์ม สีน้ำมัน และใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมทอฝ้า เป็นต้น[2],[3]
- มันฝรั่ง ลดความอ้วนได้นะ ! หลาย ๆ คนอาจเคยเข้าใจผิดว่าหากรับประทานมันฝรั่งมากก็จะยิ่งทำให้อ้วน แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้อย่างที่คุณคิดทั้งหมด ซึ่งความจริงก็คือ เจ้ามันฝรั่งนี้แหละที่เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักและความอ้วนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพราะจะช่วยทำให้อิ่มท้องได้นาน ทำให้ไม่รู้สึกหิวง่าย และช่วยลดการกินจุกจิก อีกทั้งมันฝรั่งยังเป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำและอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด แต่อย่างไรก็ตามถ้านำมันฝรั่งมาปรุงแบบผิดวิธี มันก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกัน เพราะมันฝรั่งสามารถดูดซับเครื่องปรุงต่าง ๆ โดยเฉพาะน้ำมันได้มากถึง 30-40% คุณอาจจะเคยชินกับการกินฝรั่งในรูปของมันฝรั่งทอด เฟรนช์ฟรายด์ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ใส่เครื่องปรุงแต่งมากมาย ซึ่งอยากให้รู้ไว้ว่าสิ่งที่ทำให้คุณอ้วนนี้ไม่ได้เป็นเพราะมันฝรั่ง แต่เป็นเพราะเครื่องปรุงแต่งเหล่านี้ต่างหาก ส่วนการนำมันฝรั่งมาทำเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างถูกวิธีนั้นก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การนำมาต้มให้สุกแล้วบด โรยเกลือและพริกไทยป่นเล็กน้อย (ถ้าอยากให้มีกลิ่นหอมก็ให้ใส่ส่วนผสมที่ได้ห้อในกระดาษฟรอยด์แล้วค่อยนำเข้าเตาอบ) หรือจะนำมาต้มให้สุกผสมในน้ำแกง เช่น ในเมนูหัวปลาต้มเผือก เป็นต้น หรือนำมาทำเป็นขนม เช่น บัวลอย เป็นต้น
- มันฝรั่งสามารถช่วยลดรอยคล้ำใต้ตาได้
เพราะมันฝรั่งมีเอนไซม์ที่ทำให้สีผิวดูอ่อนและจางลงได้ จึงช่วยลดความหมองคล้ำลงได้ชั่วคราว วิธีนี้จึงเหมาะกับสาว ๆ ที่ต้องการแก้ปัญหาตาคล้ำอย่างเร่งด่วนได้เป็นอย่างดี วิธีการก็คือให้นำมันฝรั่งมาฝานบาง ๆ นำมาแปะดวงตาไว้ประมาณ 15-20 นาที (หากนำมันฝรั่งไปแช่เย็นก่อนนำมาใช้ก็จะยิ่งดี เพราะจะช่วยลดปัญหาตาบวมและทำให้ตาสดชื่นได้ด้วย) สำหรับผู้ที่มีอาการคันยุบยิบเล็กน้อย ก็ไม่ต้องเอามือไปเกานะครับ เพราะตามข้อมูลบอกไว้ว่าอาจรู้สึกคันยิบ ๆ เพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด[6] - มันฝรั่งก็ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้ ด้วยการใช้น้ำมันฝรั่งต้ม 4 ช้อนโต๊ะ และนม 140 มิลลิกรัม ขั้นตอนแรกให้นำมันฝรั่งมาต้ม แล้วกรองเอาน้ำต้มที่ได้มา 4 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงไปในนมแล้วคนให้เข้ากัน เก็บใส่ขวดแล้วยำไปแช่เย็น เมื่อจะนำมาใช้ก็ให้เขย่าขวดก่อน แล้วนำมาทาหน้าด้วยการนวดเบา ๆเป็นวงกลม ทิ้งไว้สักครู่แล้วจึงใช้ผ้าซับออก[7]
- มันฝรั่งกับการทำความสะอาดผิว ให้ใช้น้ำต้มมันฝรั่ง 2 ช้อนชา, สบู่ป่น 2 ช้อนชา, เนย 2 ช้อนชา, และน้ำมันอัลมอนด์ 8 ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนแรกให้นำสบู่และน้ำมันอัลมอนด์ใส่ถ้วย และอุ่นในน้ำร้อนจนผสมเข้ากัน จากนั้นใส่เนยลงไปคนและตามด้วยน้ำต้มมันฝรั่ง แล้วนำออกจากเตาและคนต่อไปอีกจนส่วนผสมเย็นตัวลง เสร็จแล้วเก็บไว้ในขวด เมื่อจะใช้ก็ให้นำครีมที่ได้มาใช้ทำความสะอาดใบหน้าเหมือนโลชั่น ด้วยการนวดคลึงใบหน้าเบา ๆ เป็นวงกลม ทิ้งไว้สักครู่ แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น[7]
- มาส์กหน้ามันฝรั่งสูตรผิวกระชับผิวเต่งตึง
กระชับรูขุมขน และทำให้เลือดไหลเวียนดี ด้วยการใช้มันฝรั่งป่น 2 ช้อนโต๊ะ แล้วให้เทน้ำอุ่นลงในถ้วยที่ใส่มันฝรั่งป่นและคนเข้ากันจนเนื้อข้น ก่อนมาส์กหน้าให้ใช้ครีม หรือน้ำมันเบบี้ออยล์เล็กน้อยทาใบหน้าให้ทั่ว และให้ใช้พู่กันจุ่มมาส์กมันฝรั่งมาทาใบหน้าและคอ ยกเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที เมื่อครบแล้วให้ใช้ผ้าอุ่นประคบใบหน้าให้มาส์กอ่อนตัวก่อน แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น (สูตรนี้จะทำให้ผิวแห้ง จึงไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป)[7] - มาส์กหน้ามันฝรั่งสูตรบำรุงผิวหน้า ให้ใช้น้ำต้มมันฝรั่ง 7 1/2 ช้อนโต๊ะ, ขี้ผึ้ง 3 3/4 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันโจโจ้บา 1/4 ช้อนโต๊ะ, และบอแร็กซ์ 1/4 ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนแรกให้ใช้ความร้อนอ่อน ๆ ละลายขี้ผึ้งและน้ำมันให้เข้ากัน ใส่ผงบอแร็กซ์ตามลงไปในน้ำต้มมันฝรั่ง แล้วค่อย ๆ ใส่ส่วนผสมดังกล่าวลงไปคนกับขี้ผึ้งที่ละลายแล้ว เสร็จแล้วเอาขึ้นจากเตาและคนต่อไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมเย็นตัว แล้วนำมาทาใบหน้าด้วยการนวดเบา ๆ เป็นวงกลม เสร็จแล้วทิ้งไว้สักครู่ แล้วใช้ผ้าซับออก (สูตรนี้สามารถนำมาใช้ทามือ ทาผิว เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอ่อนนุ่มได้อีกด้วย)[7]
- โลชั่นมันฝรั่ง (สำหรับผิวมันและผิวธรรมดา) ให้ใช้น้ำคั้นจากมันฝรั่งดิบ 1 แก้ว และน้ำมะเขือเทศ 1 แก้ว ชั้นตอนแรกให้ไสมันฝรั่งและคั้นเอาแต่น้ำโดยใช้ผ้ากรองคั้นอีกครั้ง จากนั้นให้คั้นเอาแต่น้ำมะเขือเทศ นำมาผสมเข้าด้วยกัน แล้วใช้สำลีชุบโลชั่นที่ได้เช็ดหน้าเช้าเย็น ส่วนทีเหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็น[7]
- มืออ่อนนุ่มด้วยมันฝรั่ง ให้ใช้มันฝรั่ง 2-3 ลูก และนมอุ่น 3-4 ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนแรกให้ต้มมันฝรั่งให้สุก ปอดเปลือกและบดให้เละ แล้วใส่นมลงไปคนให้เข้ากัน เสร็จแล้วให้นำมาพอกมือให้หนา ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วค่อยล้างออก
ที่มา: https://sg.theasianparent.com และ Foodnetworksolution
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
ลองดู! อาหาร 5 อย่าง บรรเทาอาการทารกท้องเสีย
อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำช่วยควบคุมเบาหวานได้