อาการโรคหิด วิธีรักษาโรคหิด ความรู้เกี่ยวกับโรคหิดที่คุณยังไม่เคยรู้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

หลาย ๆ คนอยากรู้ใช่ไหมว่า โรคหิด คืออะไร โรคหิตมีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง โรคหิตเกิดจากอะไร เมื่อเป็นโรคหิดจะมีภาวะแทรกซ้อนไหม แล้วมีวิธีรักษาให้หายขาดหรือไม่

 

หิดเป็นภาวะผิวหนังที่เกิดอาการคันเนื่องจากมีไรตัวเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Sarcoptes scabiei อาการคันรุนแรงเกิดขึ้นในบริเวณที่ไรขึ้นโพรง การกระตุ้นให้เกาอาจรุนแรงเป็นพิเศษในตอนกลางคืน หิดเป็นโรคติดต่อและสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วผ่านการสัมผัสทางร่างกายอย่างใกล้ชิดในครอบครัว กลุ่มดูแลเด็ก ชั้นเรียนในโรงเรียน บ้านพักคนชรา หรือเรือนจำ เนื่องจากโรคหิดติดต่อได้ง่ายมาก แพทย์จึงมักแนะนำให้รักษาทั้งครอบครัวหรือกลุ่มที่ติดต่อ หิดสามารถรักษาได้ง่าย ยาที่ใช้กับผิวหนังจะฆ่าไรที่เป็นสาเหตุของโรคหิดและไข่ แต่คุณอาจยังมีอาการคันอยู่บ้างเป็นเวลาหลายสัปดาห์หลังการรักษา

 

ขอขอบคุณวีดีโอจาก : https://www.youtube.com , RAMA Channel

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

โรคหิด คืออะไร?

โรคหิดนั้นเกิดจากการติดเชื้อเชื้อไร ชื่อว่า Sarcoptes scabiei var hominis ซึ่งเป็นตัวไรที่สามารถติอต่อจากมนุษษย์ไปสู้มนุษย์ได้ มีขนาดเล็กมาก ๆ ขนาดประมาณ 0.4 มิลลิเมตร จึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ แต่สามารถมองเห็นได้ถ้าใช้กล้องจุลทรรศน์ ตัวหิดนั้นสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 3 วัน ในสภาวะที่อุณหภูมิห้องปกติ ตัวหิดสามารุผสมพันธุ์กับผิวหนังคนได้ แล้วทำการเจาะอุโมงค์ในผิวหนังกำพร้าเพื่อที่จะใช้วางไข่ โดยออกไข่วันละ 2 – 30 ฟอง แล้วก็จะตายไป แล้วตัวออกจะออกจากไข่ภายใน 3 – 4 วัน และจะโตเต็มที่ในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์

 

อาการของโรคหิด

อาการของโรคหิดในระยะแรก ๆ จะไม่แสดงอาการ โดยอาจจะใช่เวลานาน 2 – 6 สัปดาห์ จึงจะมีอาการคะน และตุ่มผื่นขึ้นตามบริเวณต่าง ๆ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่จะสร้างขึ้นโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ต่อต้านบุกรุกของสิ่งที่แปลกปลอม แต่ในผู้ที่เคยติดเชื้อของโรคนี้มาก่อนมักจะเกิดอาการขึ้นภายใน 1 – 2 วัน เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันนั้นจดจำการตอบสนองของการติดเชื้อไว้แล้ว

อาการคันอย่างรุนแรง และมรตุ่มผื่นแดงขึ้นเป็นจุด ๆ คือ อาการหลังของโรคหิด โดยแรกเริ่มของโรคหิดมักจะมีอาการคันจากที่หนึ่งแล้วกระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ และเริ่มรุนแรงขึ้นในเวลากลางคืน และหลังจากการอาบน้ำอุ่น จากนั้นไม่นานผื่นแดงเริ่มขึ้นตามร่างกาย ตุ่มผื่นเหล่านี้มักมีลักษณะเฉพาะของโรคหิด แต่ว่าก็มีบางรายที่มีลักษณะที่ผิดแปลกไป จนทำให้เกิดอาการสับกับโรคผิวหนังชนิดอื่น ๆ ได้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ทารกและเด็กเล็กที่เป็นโรคหิด โดยส่วนมากจะมีผื่นขึ้นบริเวณศีรษะ คอ ใบหน้า และฝ่าเท้า ส่วนใหญ่ในเด็กโตและผู้ใหญ่จะเกิดบริเวณข้อมือ ง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า เอว ข้อศอก บั้นท้าย รักแร้ ในผู้หญิงอาจพบที่รอบหัวนม และในผู้ชายอาจพบที่อวัยวะเพศชาย

นอกจากอาการคัน และผื่นแดงแล้ว อาจจสังเกตเห็นเป็นรอยโพลงของตัวหิด ปรากฏเป็นรอยหรือเส้นเล็ก ๆ สีเงินหรือดำบนผิวหนังประมาณ 2 – 10 มิลลิเมตร โดยมักจะพบบริเวณง่ามนิ้ว ฝ่ามือ และข้อมือด้านนใน แต่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายก็อาจจะพบได้เช่นกัน รอยนี้อาจจะสังเกตได้หลังมีอาการคัน หรือว่าเป็นผื่นขึ้นไปแล้ว อาการอื่น ๆ อาจจะรวมไปถึงผิวหนังแดง แสบร้อน บวมอักเสบ และนุ่มลง ซึ่งเป็นอาการจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการเกาอย่างรุนแรง ทำให้ผิวหนังนั้นถลอก เป็นรอยเกา และเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้

โรคหิดนั้นสามารถเพิ่มความรุนแรงให้โรคอื่น ๆ ที่เป็นก่อนอยู่แล้วได้ โดยเฉพาะโรคผิวหนังที่มีอาการคัน เช่น โรคผื่นผิวหนังอักเสบ โรคสะเก็ดเงิน และยิ่งทำให้การวินิจฉัยโรคหินยากยิ่นขึ้นหากว่าเป็นโรคเหล่านี้

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

สาเหตุของโรคหิด

สาเหตุของการเกิดโรคหิต คือ โรคหิดนั้นเกิดจากตัวหิด หรือไรที่มีชื่อว่า Sarcoptes Scabiei จักชดเป็นปรสิตชนิดหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ร่างกายของคนได้นานถึง 2 เดือนเลยทีเดียว และ จะมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการมุดเข้าไปในผิวหนังชั้นกำพร้าแล้วทำการว่าไข่ ส่งผลทำให้มีอาการคัน และเกิดผื่นแดง การติดเชื้อโรคหิดสามารถที่จะแพร่กระจายด้วยการสัมผัสตัว แต่ต้องเป็นระยะเวลานานประมาณ 15 – 20 นาที ส่วนมากจะเป็นการกอด การจับมือ หรือการสัมผัสร่างกายกันช่วงสั้น ๆ นั้นมีโอกาสทำให้ติดหิดได้น้อยมาก นอกจากนี้การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ป่วยเป็นโรคนี้ก็ทำให้ติดเชื้อหิดได้ โรคหิดสามารถแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เพราะผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการจนกว่าจะผ่านไป 2-3 สัปดาห์ ทำให้ผู้คนรอบข้างไม่อาจระวังหรือป้องกันได้ทันท่วงที โดยมักติดจากคนในครอบครัว เพื่อนหรือคู่นอนที่ป่วยเป็นโรคนี้ รวมถึงสถานที่ที่อยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด เช่น บ้านเลี้ยงเด็ก โรงเรียน ทีมกีฬา เขตคุมขังก็เสี่ยงต่อการติดโรคนี้ได้ง่าย

 

 

ภาวะแทรกซ้อน

การเกาอย่างรุนแรงอาจทำให้ผิวหนังแตกและทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียทุติยภูมิ เช่น พุพองได้ พุพองคือการติดเชื้อที่ผิวเผินซึ่งมักเกิดจากแบคทีเรีย staphylococci หรือบางครั้งอาจเกิดจากแบคทีเรีย streptococci

รูปแบบที่รุนแรงกว่าของหิดที่เรียกว่าหิดแข็ง อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงบางกลุ่ม ได้แก่:

  • ผู้ที่มีภาวะสุขภาพเรื้อรังที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น HIV หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง
  • คนที่ป่วยหนัก เช่น คนในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล
  • ผู้สูงอายุในบ้านพักคนชรา

โรคหิดแข็งหรือที่เรียกว่าโรคหิดนอร์เวย์ มีแนวโน้มที่จะทำให้ผิวหนังเป็นขุยและเป็นสะเก็ด และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ขนาดใหญ่ของร่างกาย เป็นโรคติดต่อได้มากและยากต่อการรักษา

โดยปกติคนที่เป็นโรคหิดจะมีไรประมาณ 10 ถึง 15 ตัว ในทางตรงกันข้าม คนที่เป็นโรคหิดเกรอะกรังอาจมีตัวไรเป็นล้าน

 

การรักษาโรคหิด

การรักษาโรคหิดเกี่ยวข้องกับการกำจัดการรบกวนด้วยยา ครีมและโลชั่นหลายชนิดมีจำหน่ายตามใบสั่งแพทย์ แพทย์ของคุณมักจะขอให้คุณใช้ยานี้กับร่างกายทั้งหมด ตั้งแต่คอลงไป และปล่อยยาไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 8 ถึง 10 ชั่วโมง การรักษาบางอย่างต้องใช้ครั้งที่สอง และต้องทำการรักษาซ้ำหากมีโพรงใหม่และมีผื่นขึ้น เนื่องจากโรคหิดแพร่กระจายได้ง่ายมาก แพทย์ของคุณมักจะแนะนำให้รักษาสมาชิกทุกคนในครัวเรือนและผู้ใกล้ชิดอื่น ๆ แม้ว่าจะไม่แสดงสัญญาณของการระบาดของโรคหิดก็ตาม

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ยาที่กำหนดโดยทั่วไปสำหรับโรคหิด ได้แก่:

  • ครีมเพอร์เมทริน Permethrin เป็นครีมเฉพาะที่มีสารเคมีที่ฆ่าไรหิดและไข่ของพวกมัน โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ สตรีมีครรภ์ และเด็กอายุ 2 เดือนขึ้นไป
  • ไอเวอร์เม็กติน (สโตรเมกทอล) แพทย์อาจสั่งยารับประทานนี้สำหรับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันเปลี่ยนแปลง สำหรับผู้ที่เป็นโรคหิดเกรอะกรัง หรือสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อโลชั่นและครีมที่ต้องสั่งโดยแพทย์ Ivermectin ไม่แนะนำสำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมลูก หรือสำหรับเด็กที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 33 ปอนด์ (15 กิโลกรัม)
  • Crotamiton (Eurax, Crotan). ยานี้มีให้ในรูปแบบครีมหรือโลชั่น ใช้วันละครั้งเป็นเวลาสองวัน ความปลอดภัยของยานี้ไม่ได้กำหนดขึ้นในเด็ก ผู้ใหญ่ 65 ปีขึ้นไป หรือสตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร มีรายงานความล้มเหลวในการรักษาบ่อยครั้งด้วย crotamiton

แม้ว่ายาเหล่านี้จะฆ่าตัวไรในทันที แต่คุณอาจพบว่าอาการคันยังไม่หยุดนิ่งเป็นเวลาหลายสัปดาห์ แพทย์อาจสั่งยาเฉพาะที่อื่นๆ เช่น กำมะถันผสมในน้ำมันเบนซิน สำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองหรือไม่ใช้ยาเหล่านี้

 

การป้องกันโรคหิด—-

บางครั้งโรคหิดก็ไม่สามารถรักษาให้หายตั้งแต่คราวแรก ผู้ป่วยจึงต้องรับการรักษาใหม่อีกครั้ง การรักษาที่ไม่ได้ผลสังเกตได้จากอาการคันยาวนานมากกว่า 2-3 อาทิตย์ ซึ่งสาเหตุนั้นมักพบว่าเกิดจากการใช้ยาไม่ครบกำหนด รวมถึงการสัมผัสกับเชื้ออีกครั้งขณะรักษา ทำให้เชื้อโรคหิดกลับมาจู่โจมอีกครั้ง

เพื่อป้องกันการกลับไปติดเชื้อโรคหิด ผู้ป่วยควรทายาให้ครบตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ นอกจากนี้ แม้จะกำจัดตัวหิดออกจากร่างกายแล้ว แต่ตัวหิดก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้นาน 4-6 วัน จึงควรซักทำความสะอาดที่นอน หมอน เสื้อผ้า และผ้าเช็ดตัวที่อาจมีตัวหิดเกาะอยู่ โดยใช้น้ำร้อนอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียสขึ้นไป และตากแห้งด้วยความร้อนสูงอย่างน้อย 10-30 นาทีเพื่อให้แน่ใจว่าตัวหิดถูกกำจัดหมดแล้ว ส่วนสิ่งที่ไม่สามารถซักทำความสะอาดได้สามารถใช้เครื่องดูดฝุ่นกำจัด แล้วใช้ผงซักฟอกและน้ำร้อนทำความสะอาด รวมถึงใช้เช็ดตามบริเวณที่อาจมีตัวหิดอยู่ด้วย

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

มะเร็งกระดูก อาการเป็นอย่างไร วิธีดูแล ป้องกัน และรักษาโรค

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ข้อควรรู้เกี่ยวกับอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน รวมทั้งวิธีรักษา

โรคลําไส้แปรปรวนมีอาการเป็นอย่างไร สาเหตุเกิดจากอะไร มีวิธีรักษาหรือไม่?

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : 1 , 2 , 3 , 4

บทความโดย

Kittipong Phakklang