ในเด็กวัยทารก อาจจะมีปัญหาหายใจเสียงดังครืดคราด ทำให้เด็กหายใจไม่สะดวกซึ่งมีผลต่อการดูดนม หรืออาจทำให้เกิดการสำลักในลูกน้อยได้ สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดคือ น้ำมูกที่จับตัวเป็นก้อนเหนียว ๆ แห้ง ๆ ในโพรงจมูก บางทีก็เป็นนมที่เด็กอาเจียนพุ่งออกมาทางจมูก ทำให้จับตัวเป็นก้อนกับน้ำมูกในจมูกได้
ในเด็กที่โตขึ้นและในบ้านมีพี่ที่ไปโรงเรียน ก็มักจะมีปัญหาการเจ็บป่วยของระบบทางเดินหายใจได้บ่อยขึ้น จากไวรัสหลากหลายสายพันธุ์หรือแบคทีเรีย และมักจะทำให้น้องป่วยตามไปด้วย ในกรณีเช่นนี้ ถ้าพี่ป่วย ควรแยกจากน้องชั่วคราว เพราะในเด็กทารก ถ้ามีการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไข้หวัด จะทำให้มีน้ำมูก คัดจมูก หายใจลำบาก หรือมีเสมหะในคอจำนวนมาก การดูแลรักษาในเด็กเล็กจะยุ่งยากและลำบากมาก เพราะยังสั่งน้ำมูกออกมาไม่ได้หรือไอเอาเสมหะออกไม่เป็น รวมทั้งไม่สามารถบอกอาการได้เพราะยังพูดไม่ได้ ทำให้หายป่วยได้ช้ากว่า บางรายมีปัญหาท้องอืด ร้องกวน เนื่องจากหายใจเข้าทางปากตลอดเพราะคัดจมูก ทำให้มีลมในกระเพาะมากกว่าปกติ และมีผลต่อการกินนมอีกด้วย
ในเด็กวัยเรียนที่เข้าอนุบาลแล้ว เรื่องน้ำมูกก็เป็นปัญหาสำคัญที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งอาจเกิดจากหวัด โรคภูมิแพ้ และไซนัสอักเสบ ทำให้มีการอุดกั้นในระบบทางเดินหายใจ จึงควรมีการสอนให้เด็กรู้จักวิธีการสั่งน้ำมูกทีละข้าง โดยการเอากระดาษทิชชูครอบที่จมูกพร้อมใช้นิ้วมือกดจมูกไว้ทีละข้างสลับกัน แล้วค่อยสั่งน้ำมูกออกมาในกระดาษทิชชูที่รองไว้ จะได้สังเกตสีของน้ำมูกได้ด้วย ซึ่งบางครั้งการสั่งน้ำมูกอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จึงมีความจำเป็นต้องล้างทำความสะอาดจมูก เพื่อไม่ให้มีการคั่งค้างของน้ำมูกในโพรงจมูก
วิธีการดูแลลูกน้อยเมื่อหายใจครืดคราด
- ในวัยทารก การทำความสะอาดจมูกควรมีคนช่วยจับหัวเด็กให้นิ่งก่อน แล้วหยอดน้ำเกลือนอร์มอลซาไลน์ในรูจมูกเด็กสัก 1 ถึง 2 หยด เพื่อทำให้น้ำมูกนิ่มขึ้นจะได้เขี่ยออกได้ง่าย จากนั้น ใช้ cotton bud (ก้านสำลี) จุ่มน้ำเกลือ แล้วค่อย ๆ เขี่ยน้ำมูกออก โดยวิธีการเขี่ยให้เอา cotton bud แหย่เข้าด้านข้างของรูจมูก แล้ววกออกตรงกลางของรูจมูกในแต่ละข้าง เพราะการใช้ cotton budเขี่ยเข้าไปตรง ๆ อาจจะดันให้น้ำมูกเข้าไปลึกมากขึ้น ทำให้ยิ่งยากในการนำก้อนน้ำมูกออกมาได้ วิธีที่หมอไม่แนะนำคือการใช้ปากไปดูดน้ำมูกจากจมูกเด็ก เพราะบางครั้งในปากที่ใช้ดูดอาจมีเชื้อก่อโรคให้ลูกได้ รวมทั้งการใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกในรูจมูกเด็ก หากทำไม่ถูกวิธี อาจทำให้เยื่อบุจมูกเด็กบวมมากขึ้น ในเด็กที่โตขึ้น ก่อนอายุ 2 ปี สามารถใช้เป็นน้ำเกลือแบบสเปรย์พ่นเข้าไปในจมูกแต่ละข้างได้เลย ข้างละ 2 ถึง 3 กด บางครั้งเด็กก็จะจามเอาน้ำมูกออกมา หรือไหลลงไปในคอได้เลยในกรณีที่ยังสั่งน้ำมูกไม่เป็น ทำให้เด็กสามารถหายใจได้สบายและคล่องขึ้น นอนหลับและทานอาหารได้ดีขึ้น
- ในเด็กวัยอนุบาล สามารถใช้น้ำเกลือบีบล้างจมูกได้ แต่ไม่ควรบังคับจับเด็ก เพราะอาจทำให้สำลักได้ การล้างจมูกโดยการใช้หลอดไซริงจ์หรือขวดบีบน้ำเกลือเข้าจมูก เด็กจะต้องกลั้นหายใจเป็นในขณะที่เราบีบน้ำเกลือเข้าไปในจมูก โดยน้ำเกลือจะเข้าทางรูจมูกซ้ายแล้วออกทางรูจมูกขวา หรือเข้าขวาออกซ้ายก็ได้ และทุกครั้งที่น้ำออกจากจมูกแล้ว ควรสั่งน้ำมูกโดยการปิดจมูกทีละข้างแล้วค่อยสั่งน้ำมูก จะทำให้น้ำมูกออกได้ง่ายกว่าและไม่ทำให้ปวดหู
เทคนิคสำคัญในการล้างจมูก
- ควรใช้เป็นน้ำเกลืออุ่นในการล้างจมูก เช่น ใช้น้ำอุ่นในการผสมกับเกลือผงสำเร็จรูป หรือถ้าน้ำเกลือขวดใหญ่ควรเทใส่แก้วเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟให้เพียงอุ่น ๆ เท่านั้น เพราะน้ำอุ่นจะทำให้เยื่อบุจมูกยุบบวม และลดการปวดหูขณะล้างจมูกด้วย
- ขนาดหรือปริมาณน้ำเกลือในการฉีดเข้าไปล้างจมูกแต่ละครั้ง คือ 5 ซีซีในเด็กวัยอนุบาล ในเด็กโต 5 ปีขึ้นไปสามารถใช้ 10 ซีซี ถ้าอายุเกิน 10 ปีขึ้นไปควรใช้ 20 ซีซีในแต่ละครั้งอย่างน้อยข้างละ 3 ครั้ง ในการสั่งน้ำมูกออกมาถ้ามีสีเขียวหรือเหลือง ให้เพิ่มจำนวนครั้งของการล้าง จนกว่าน้ำมูกที่ออกมาจะใส
- การสอนเด็กกลั้นหายใจ โดยการให้เด็กอ้าปากแล้วออกเสียง อา ยาว ๆ ในขณะดันน้ำเข้าจมูกตามปริมาณที่แนะนำโดยเร็วเพื่อให้น้ำไหลออกมาอีกข้างของจมูก ถ้าเป็นการใช้ขวดก็ให้บีบแล้วปล่อย เพื่อเว้นจังหวะให้เด็กหายใจ ถ้าค่อย ๆ ดัน น้ำจะไหลออกจากจมูกข้างเดียวกันเพราะแรง ดันไม่พอที่จะให้ข้ามมาออกอีกข้างหนึ่ง
- ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูกให้สะอาดหลังการใช้งานทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเติบโตและเพิ่มปริมาณ ใช้น้ำสบู่หรือน้ำยาล้างจาน ล้างด้วยน้ำประปาจนสะอาด ผึ่งให้แห้ง
ประโยชน์ของการหยอดน้ำเกลือและการล้างจมูกในเด็กเล็ก
- เป็นการกำจัดน้ำมูกที่เหนียวข้นและอุดกั้นทางเดินหายใจ บรรเทาอาการคัดแน่นจมูก ระคายเคืองในจมูก ทำให้เด็กรู้สึกสบายหายใจสะดวก
- ในกรณีที่มีการติดเชื้อในทางเดินหายใจ การล้างจมูกก็เป็นการลดปริมาณเชื้อโรค ทำให้อาการดีเร็วขึ้น ป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคจากจมูกและไซนัสไปสู่ปอด
- ในกรณีที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก การล้างจมูกทุกวันตอนเย็นจะช่วยลดสารก่อภูมิแพ้ที่เข้าไปในจมูก ทำให้อาการภูมิแพ้ดีขึ้นมากร่วมกับการรักษาด้วยยา และถ้าล้างจมูกก่อนใช้ยาพ่น จะทำให้ยาเข้าถึงเยื่อบุจมูกได้ดีขึ้นด้วย
- ในเด็กที่เข้าโรงเรียนอนุบาลปีแรก จะมีปัญหาป่วยด้วยอาการน้ำมูก ไอ ได้บ่อย ดังนั้นการล้างจมูกทุกวันตอนเย็นเมื่อกลับบ้าน จะช่วยป้องกันให้เด็กป่วยน้อยลง หรือลดความรุนแรงได้ด้วย
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้เยื่อบุจมูก ในกรณีที่อากาศหนาวเย็น และความชื้นต่ำ เยื่อบุจมูกจะแห้งและทำให้แสบมากขึ้น ทำให้มีเลือดกำเดาไหลได้
เทคนิคเพิ่มเติมให้ลูกน้อยหลับสบาย
โดยปกติแล้วเด็กทุกคนควรจะนอนหุบปากและหายใจทางจมูก ในกรณีที่เด็กคัดจมูกหรือมีน้ำมูกก็จะต้องอ้าปากหายใจ ทำให้คอแห้งและแสบคอ บางครั้งต้องตื่นมาไอเหมือนมีอะไรติดคอหรือมีอาเจียนตามมาได้ ทำให้ลูกหลับไม่สนิท และอาจจะร้องกวนงอแง
การหยดน้ำเกลือเข้าไปในจมูกทุกวันหรือการล้างจมูกทุกวันเพื่อทำความสะอาด นับเป็นสุขอนามัยอีกหนึ่งอย่างที่ควรทำนอกเหนือจากการอาบน้ำ แปรงฟัน จะทำให้ลูกนอนหลับได้สบายมากขึ้น ยิ่งในกรณีที่ลูกป่วย เช่น มีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ การล้างจมูกก็สามารถทำควบคู่ไปกับการกินยาและทำให้เด็กหายป่วยได้เร็วขึ้น ช่วยลดการกินยาให้เด็กได้ด้วย
บทความโดย : ศ.พญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ลูกหายใจแบบไหน เป็นสัญญาณร้าย ที่พ่อแม่ต้องระวัง
ลูกหายใจเสียงดังวี้ด ระวังอันตราย ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
ลูกนอนหายใจทางปาก ลูกหายใจทางปาก ตอนนอน อันตรายไหม
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!