เนื่องจากการคลอดแบบธรรมชาติหลังจากที่เคยผ่าคลอดมาก่อน (VBAC-Vaginal Birth After Caesarean) ไม่ค่อยมีคนไทยได้ทำเท่าไหร่ และโรงพยาบาลส่วนใหญ่ก็จะไม่ให้ทำด้วย เพราะเครื่องมือยังไม่พร้อมและคุณแม่อาจมีความเสี่ยงขณะคลอด เรามีประสบการณ์จากคุณแม่ชาวสิงคโปร์ Tauqir Karim ที่ได้แชร์บทความนี้ไว้กับ theAsianparent ของประเทศสิงคโปร์ เมื่อเดือนมีนาคม 2011
เมื่อผ่าคลอดแล้ว ครั้งต่อ ๆ ไปก็ต้องผ่าคลอดเสมอ……ผิดแล้วค่ะ!!!
ลูกสาวฉันเกิดด้วยวิธีผ่าคลอดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2006 พอฉันท้องลูกคนที่สอง หมอก็บอกให้ผ่าคลอดเหมือนเดิม แต่ฉันเคยอ่านเจอว่ามีแม่หลาย ๆ คนที่คลอดเองหลังจากที่เคยผ่าคลอดมาก่อน ฉันอยากได้ประสบการณ์การเบ่งคลอดด้วยตัวเองในชีวิตนี้ คุณหมอที่ดูแลฉันก็บอกว่าถ้าอยากได้อย่างนั้นเขาก็จะสนับสนุนเต็มที่ แต่ถ้าเมื่อไหร่มีสัญญาณว่าการคลอดเองจะมีความเสี่ยง เขาจะทำการผ่าคลอดให้ทันที
3 วันก่อนวันครบกำหนด หมอทำการเช็คโดยละเอียดว่าทารกมีความเครียดหรือไม่ และพบว่าทุกอย่างเป็นปกติดี แต่ก็ยังต้องรอดูจนถึงวันคลอด วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม (2011) ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ตอนบ่าย 3 ก็เริ่มเจ็บท้อง แต่คิดว่าน่าจะเป็นการเจ็บหลอกเลยนอนพักผ่อน พอ 2 ทุ่ม หลังจากที่กล่อมลูกสาวเข้านอนแล้ว ฉันรู้สึกเจ็บท้องมากขึ้นและถี่ขึ้น สามีก็ช่วยจับเวลา ได้ว่าเจ็บท้องทุก 10 นาที ตอนนั้นฉันยังไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่เพราะยังไม่ถี่มาก จึงทานข้าวก่อนและอาบน้ำ คาดว่าฉันคงจะไม่ได้อาบน้ำอีกหลายวัน
เวลา 3 ทุ่มครึ่ง ความเจ็บมันเริ่มทวีคูณ ฉันเลยไปโรงพยาบาล ช่วงที่นั่งรถฉันปวดท้องอย่าทรมาน และก็เจ็บท้องทุก 8 นาที
อ่านต่อหน้าถัดไป >>>
พอถึงโรงพยาบาล พยาบาลก็บอกให้นอนบนเตียงและตรวจชีพจรของทารก พยาบาลให้หายใจเข้าและออกตามการเจ็บท้อง ซักพักความเจ็บก็เพิ่มขึ้นจนฉันต้องขอยาบล็อกหลัง พยาบาลก็เข้ามาฉีดยาบล็อกและหลังจากที่ต้องทรมานจากการจิ้มเข็มไป 20 นาที ฉันค่อยรู้สึกผ่อนคลายและดีขึ้น ตอนนั้นปากมดลูกเปิดไป 4 เซ็นติเมตรแล้ว หมอทำคลอดก็เข้ามาดูและบอกว่าเราจะรอไม่เกิน 6 ชั่วโมง ถ้าปากมดลูกไม่เปิดเต็มที่จะทำการผ่าคลอด เขาก็เจาะน้ำคล่ำและให้ยาเร่งคลอด ฉันก็พยายามจะผ่อนคลาย เปิดเพลงฟังแล้วก็ทนไปกับอาการเจ็บท้อง ขาฉันชาไปข้างนึง ตอนนี้ก็รำคาญมากเลยว่าทำไมชาข้างเดียว และตอนนั้นก็รู้สึกสั่น ๆ ด้วย หมอบอกว่าเป็นผลจากการบล็อกหลัง
เวลาตี 4 ปากมดลูกเปิด 6 เซ็นติเมตรล่ะ นางพยาบาลก็บอกว่า “ลูกกำลังจะออกมาแล้ว” เป็นคำพูดที่ทำให้แฮปปี้มาก เพราะฉันก็ไม่อยากต้องโดนผ่าคลอด
ตี 4.30 หมอเดินมาบอกเลยว่า “อดใจเอาไว้ คุณจะได้อุ้มลูกภายในตี 5!” นางพยาบาลก็บอกฉันว่าจะต้องนอนท่าไหนในระหว่างที่เขาเช็คลูกในครรภ์ หลังจากนั้นทีมทำคลอดก็บอกให้เบ่ง! ตอนนั้นฉันก็พยายามสุดฤทธิ์และรู้สึกเหมือนเป็นการเบ่งที่ยาวนานที่สุดในชีวิต แต่จริง ๆ แล้วมันผ่านไปแค่ 20 นาที
ตอนนั้นฉันหิวมาก เลยบอกหมอที่ทำคลอดว่าฉันไม่มีแรงจะเบ่งแล้วะ หมอเลยบอกว่าให้คิดถึงข้าวเช้ามื้อใหญ่แล้วก็เบ่ง! สามีฉันเห็นผมของลูกโผล่ออกมา แล้วก็เห็นหัวลูกทั้งหัว พอเบ่งอีกทีก็ได้ลูกออกมาทั้งตัว แล้วลูกฉันก็เกิดเวลาตี 5 แป๊บ ๆ ตอนที่หมอบอกว่าได้ลูกชาย ฉันดีใจจนบอกไม่ถูกเพราะเราไม่ได้ดูเพศของเด็กไว้ตั้งแต่แรก ฉันได้อุ้มลูกไว้ในอ้อมอกระหว่างที่หมอตัดสายสะดือ
ความทรมานที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งแต่การแพ้ท้อง และปวดท้องคลอด ฉันลืมมันไปหมด แค่ได้เห็นหน้าลูกเท่านั้น นี่เป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขมากที่สุดในชีวิต ลูกชายฉันหนัก 2.8 กิโลกรัม
สามีฉันวุ่นอยู่กับการถ่ายรูปและกำลังตื่นเต้นว่าได้ลูกชาย ฉันเหนื่อยมากจนอาเจียนตอนกำลังให้นมลูกและก็ไม่ได้รู้สึกอยากกินข้าวเช้ามื้อใหญ่ ฉันนอนพักต่ออีก 2-3 ชั่วโมงระหว่างที่สามีกลับบ้านไปบอกข่าวดีลูกสาวคนโต
ประสบการณ์การผ่าคลอดอย่างละเอียด
คลอดแบบธรรมชาติดีกว่าการผ่าคลอดอย่างไร