EQ ต่ำ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว: 3 พฤติกรรมเล็ก ๆ บนโต๊ะอาหารที่พ่อแม่ควรรู้ทัน

lead image

เด็กที่มีแนวโน้ม EQ ต่ำ มักจะแสดงพฤติกรรมบางอย่างซ้ำ ๆ บนโต๊ะอาหาร ซึ่งถ้าไม่รีบปรับเปลี่ยน อาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมในระยะยาว

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ในยุคที่ทักษะทางอารมณ์ (Emotional Quotient หรือ EQ) มีบทบาทสำคัญพอ ๆ กับ IQ ในการกำหนดความสำเร็จในชีวิต การปลูกฝัง EQ ที่ดีให้กับเด็กตั้งแต่วัยเยาว์จึงเป็นภารกิจสำคัญของพ่อแม่ โดยเฉพาะบน “โต๊ะอาหาร” ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างใกล้ชิด ล่าสุด ศาสตราจารย์ชื่อดังด้านพัฒนาการเด็ก ได้ออกมาเตือนว่า เด็กที่มีแนวโน้ม EQ ต่ำ มักจะแสดงพฤติกรรมบางอย่างซ้ำ ๆ บนโต๊ะอาหาร ซึ่งถ้าไม่รีบปรับเปลี่ยน อาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมในระยะยาว

ในบทความนี้ เราจะพาคุณพ่อแม่มาทำความรู้จักกับ “3 พฤติกรรมสัญญาณเตือน” ของเด็ก EQ ต่ำ พร้อมวิธีการรับมืออย่างเข้าใจและอิงหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อให้การเลี้ยงลูกเต็มไปด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่การลงโทษ

 

สารบัญ

EQ ต่ำ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว: 3 พฤติกรรมเล็ก ๆ บนโต๊ะอาหารที่พ่อแม่ควรรู้ทัน

พฤติกรรมที่ 1: ขาดการควบคุมอารมณ์เมื่อถูกปฏิเสธ (เช่น ร้องไห้ ฟาดจาน ตะโกนเสียงดัง)

พฤติกรรมแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงการที่เด็กยังไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ผิดหวังหรือความไม่พอใจได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นหัวใจของ EQ ที่ดี เหตุผลทางวิทยาศาสตร์: งานวิจัยจาก Yale Center for Emotional Intelligence (Brackett, M. A. et al., 2011) ระบุว่า การที่เด็กขาดทักษะในการ “รับรู้และจัดการอารมณ์” มักจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือตอบสนองแบบสุดโต่งเมื่อถูกปฏิเสธ

วิธีรับมือ

ให้เวลาเด็กสงบอารมณ์ (Pause before response) ช่วยสะท้อนอารมณ์กลับ เช่น “แม่เข้าใจว่าหนูอยากกินไอศกรีมตอนนี้ แต่เราต้องกินข้าวก่อนนะ” สอนให้รู้จักคำว่า “ผิดหวัง” ด้วยการใช้เหตุการณ์จริงบนโต๊ะอาหารเป็นตัวอย่าง

พฤติกรรมที่ 2: ปฏิเสธการมีส่วนร่วม เช่น ไม่ยอมกินข้าวร่วมโต๊ะ หรือก้มหน้าเล่นมือถือตลอดเวลา

ด็กที่หลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์มักมีปัญหาทางด้านการเชื่อมโยงทางสังคม (social connection) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ EQ ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ: Dr. Daniel Goleman ผู้เขียนหนังสือ Emotional Intelligence (1995) ระบุว่า เด็กที่ขาดปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว จะมีแนวโน้มพัฒนา EQ ได้น้อยกว่าเด็กที่โตมากับบทสนทนาและกิจกรรมร่วมกัน

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

วิธีรับมือ

จัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดหน้าจอ ปิดทีวี วางมือถือ รวมถึงของเล่นต่าง ๆ ใช้บทสนทนาเปิด เช่น “วันนี้มีอะไรสนุก ๆ ที่โรงเรียนบ้าง” หรือ “ลูกคิดว่าเมนูวันนี้อร่อยไหม” สร้างบรรยากาศโต๊ะอาหารให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย (safe space) ที่เด็กสามารถพูดโดยไม่ถูกตำหนิ

พฤติกรรมที่ 3: ไม่ใส่ใจหรือเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เช่น แย่งอาหาร ไม่รอคนอื่น หรือไม่ช่วยเก็บจาน

การเห็นอกเห็นใจ (empathy) เป็นแกนหลักของ EQ เด็กที่ไม่แสดงออกถึงการรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น มีแนวโน้มมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมในอนาคต อ้างอิงทางวิชาการ: งานวิจัยโดย Hoffman, M. L. (2000) ระบุว่า การพัฒนา empathy เกิดขึ้นจากการฝึกฝนและการเป็นแบบอย่างจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในบริบทประจำวัน เช่น โต๊ะอาหาร

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

วิธีรับมือ

ร้างกติกากลาง เช่น “รอให้ทุกคนพร้อมก่อนจึงเริ่มกิน” ชมเชยเมื่อเด็กแสดงออกถึงการช่วยเหลือหรือรอคอย เช่น “แม่ดีใจมากเลยที่หนูช่วยน้องหยิบช้อนนะ” สอนผ่านการเล่าเรื่อง เช่น นิทานที่สอนเรื่องการแบ่งปันหรือช่วยเหลือผู้อื่น

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ทำไม “โต๊ะอาหาร” ถึงสำคัญกับพัฒนาการ EQ?

1. เป็นพื้นที่ฝึกสื่อสาร เด็กได้เรียนรู้การพูดคุย แสดงออก และฟังผู้อื่น
2. สะท้อนแบบอย่างจากพ่อแม่ พฤติกรรมของพ่อแม่ขณะกินข้าว จะถูกจดจำและเลียนแบบ
3. สร้างความมั่นคงทางอารมณ์ มื้ออาหารที่เป็นกิจวัตร ช่วยให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและมั่นคง (routines create stability)

 

สถิติน่าสนใจ: จากผลสำรวจของ Harvard School of Public Health (2014) พบว่า เด็กที่กินข้าวร่วมกับครอบครัว 5 ครั้งขึ้นไปต่อสัปดาห์ มีคะแนน EQ สูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวถึง 30%

 

ปรับวันนี้ ลูก EQ ดีได้ในอนาคต

EQ ไม่ใช่สิ่งที่ “มีหรือไม่มี” แต่เป็นทักษะที่สร้างและพัฒนาได้ และโต๊ะอาหารคือจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่มากกว่าที่หลายคนคิด หากลูกคุณแสดงพฤติกรรมที่กล่าวมา อย่าเพิ่งตกใจหรือรู้สึกผิด แต่จงเห็นว่ามันคือ “โอกาส” ที่จะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลง ร่วมสร้างความเข้าใจทางอารมณ์ สร้างบทสนทนา และแบบอย่างที่ดีในทุกมื้ออาหาร เพราะมื้ออาหารที่ดี ไม่ใช่แค่กินให้อิ่ม…แต่ต้องเต็มไปด้วยความสัมพันธ์ ความเข้าใจ และความรัก

 

อ้างอิง:

  1. Brackett, M. A., et al. (2011). “Measuring and Developing Emotional Intelligence with the RULER Approach.” Journal of Education Psychology.
  2. Goleman, D. (1995). Emotional Intelligence. Bantam Books.

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

8 วิธีฝึกลูกจัดการความโกรธ สยบอารมณ์ขุ่นมัวอย่างสร้างสรรค์

ข้อตกลงการใช้โทรศัพท์มือถือ ของลูก กฎแบบไหนให้เสรี และมีความปลอดภัย

10 วิธีเด็ดรับมือ วัยต่อต้าน ปราบลูกดื้อด้วยความเข้าใจ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความโดย

Weerati