เมื่อพูดถึงประโยชน์ของการจัดฟัน หลายคนมักนึกถึง การช่วยให้มีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น มีรอยยิ้มที่สวยงามขึ้น แต่คุณแม่อาจยังไม่ทราบว่า ความจริงแล้ว การจัดฟันให้ลูกตั้งแต่วัยเด็กนั้น ยังมีประโยชน์ด้านอื่น ๆ อีกด้วย ได้แก่
- ช่วยให้ทำความสะอาดฟันง่าย และมีสุขภาพช่องปากดีขึ้น การมีฟันเรียงตัวสวยงาม และเป็นระเบียบ จะช่วยให้ลูกสามารถดูแล และทำความสะอาดภายในบริเวณช่องปากของตัวเองได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ฟันที่เรียงตัวสวยเป็นระเบียบจะช่วยลดโอกาสที่เศษอาหารลงไปติดอยู่ตามซอกฟันได้ดี ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงของปัญหาฟันผุ ปัญหากลิ่นปาก และช่วยเสริมบุคลิกภาพ เสริมความมั่นใจ ทำให้เด็ก ๆ ใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างสบายใจไร้กังวล
- ดีต่อระบบย่อยอาหาร การมีฟันที่เรียงตัวเป็นระเบียบ จะช่วยให้ฟันในแต่ละตำแหน่งทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ฟันกัดก็จะฉีกกัดอาหารได้อย่างแข็งแรง ฟันบดเคี้ยวก็จะเคี้ยวอาหารได้ละเอียด ทำให้ระบบย่อยอาหารไม่ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระเพาะอาหาร หรือกรดไหลย้อนได้ดี นอกจากนี้ ยังลดปัญหาการเคี้ยวอาหารพลาดไปโดนกระพุ้งแก้ม หรือริมฝีปาก จนเป็นแผลใหญ่ภายในช่องปากได้อีกด้วย
- ช่วยให้ออกเสียงได้ชัดเจนขึ้น เป็นอีกหนึ่งข้อดีที่หลาย ๆ คนอาจยังไม่ทราบ ว่ารูปร่างฟัน และการสบฟันที่ดี มีผลต่อการพูดมาก ๆ หากเด็ก ๆ มีปัญหาเรื่องฟันเก ฟันซ้อน ฟันห่าง หรือมีรูปฟันผิดปกติ อาจมีปัญหาเรื่องการออกเสียง ทำให้พูดไม่ชัด และมีปัญหาด้านบุคลิกภาพตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
แม้การจัดฟันจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมีปัญหาจุกจิกรำคาญใจอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะการจัดฟันด้วยวิธีดั้งเดิม อย่าง การจัดฟันแบบโลหะติดแน่น หรือที่เรียกว่า เหล็กดัดฟัน ค่อนข้างมีผลต่อการใช้ชีวิตของเด็ก ๆ หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ความเจ็บปวดจากการติดอุปกรณ์ การโดนลวดบาดในช่องปาก มีบุคลิกที่เปลี่ยนไปทำให้รู้สึกแตกต่างจากเพื่อน ๆ ไม่มั่นใจเวลายิ้มแล้วเห็นลวดในปาก ออกเสียงพูดยากขึ้น หรือพูดไม่ชัดเจน ทำความสะอาดฟันได้ยาก ซึ่งต้องใช้เวลาแปรงฟันนานกว่าปกติ เป็นต้น เหล่านี่คือสิ่งที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายบ้าน รู้สึกลังเลใจเมื่อมีความคิดว่าอยากพาเด็ก ๆ มาจัดฟัน จะดีกว่าไหม หากเด็ก ๆ สามารถใช้ชีวิตได้ตามต้องการ และทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจในระหว่างจัดฟัน
ไขข้อข้องใจ ควรพาลูกไปจัดฟันเมื่อไร ช่วงอายุไหนเหมาะกับการพาลูกไปจัดฟันมากที่สุด?
เป็นอีกหนึ่งคำถามที่พ่อแม่มักสงสัยเสมอว่า ควรพาลูกไปจัดฟันตอนไหนดี? ช่วงอายุเท่าไรถึงจะเหมาะสมกับการพาลูกไปจัดฟันมากที่สุด? ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ควรพาเด็ก ๆ ไปจัดฟัน แบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ
- เมื่อลูกมีอายุ 7 – 10 ปี ช่วงอายุนี้จะเป็นการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพช่องปากที่เฉพาะเจาะจง รวมถึงการเจริญเติบโตทางใบหน้า เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพฟันที่ซับซ้อนซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปในอนาคต
- เมื่อลูกมีอายุ 12 – 14 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เด็ก ๆ มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว หรือเป็นช่วงวัยที่ฟันแท้ของลูกขึ้นครบแล้ว
ทำความรู้จัก Invisalign® การจัดฟันแบบใส เทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้การจัดฟันไม่กระทบกับการใช้ชีวิตของลูก
เด็กวัยเรียน เป็นวัยที่สนุกกับการเล่น และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา การจัดฟันรูปแบบเดิม อาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บระหว่างเล่นกีฬา หรือรู้สึกไม่มั่นใจเพราะเศษอาหารมักเข้าไปติดในอุปกรณ์จัดฟันหลังมื้ออาหาร ซึ่งปัญหาเล็ก ๆ เหล่านี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตนอกบ้านของเด็ก ๆ เป็นอย่างมาก
แต่เรื่องจุกจิกกวนใจเหล่านี้จะหมดไป เมื่อคุณพ่อคุณแม่ได้รู้จักกับ การจัดฟันแบบใส Invisalign® เทคโนโลยีการจัดฟันที่ทันสมัยจากสหรัฐอเมริกา ช่วยให้การจัดฟันไม่ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตของเด็ก ๆ มากจนเกินไป โดยเครื่องมือ จัดฟันแบบใส Invisalign® นี้ ผลิตจากวัสดุ SmartTrack™ ที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง ให้ความรู้สึกสบายตลอดเวลาที่สวมใส่ และยังมีประสิทธิภาพดีในการควบคุมทิศทางการเคลื่อนฟันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่วางแผนเอาไว้ Invisalign® เป็นเครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้ สวมใส่ง่าย ทำได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ ตลอดการจัดฟันจะมีทันตแพทย์ คอยดูแลให้ความใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มวางแผนจัดฟันที่คาดคะเนผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้มั่นใจว่าเด็ก ๆ จะมีรอยยิ้มสวยงามตามต้องการ
ตัวอุปกรณ์จัดฟันใส หรือเรียกว่า Aligner ผลิตจากวัสดุ SmartTrack™ ซึ่งเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ Invisalign® อุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกออกแบบมาเฉพาะบุคคล เมื่อสวมใส่จะเข้ากับฟันและขอบเหงือกได้พอดี การจัดฟันแบบใส Invisalign® เริ่มจากการสแกนฟันด้วยเครื่องสแกนช่องปาก 3 มิติ iTero™ ช่วยให้ทันตแพทย์สามารถจำลองภาพฟันของเด็ก ๆ ได้แบบ 3 มิติ และใกล้เคียงของจริงมากที่สุด ภายในเวลาเพียง 5 – 10 นาที หลังจากนั้นทันตแพทย์จะวางแผนการเคลื่อนฟันด้วยโปรแกรมเฉพาะของ Invisalign® จากแผนการเคลื่อนฟันหรือแผนการรักษานี้ คุณพ่อแม่คุณแม่จะสามารถเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของฟันลูก ๆ และผลลัพธ์ที่จะได้เมื่อจัดฟันเสร็จได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มจัดฟัน
ข้อดีของ การจัดฟันแบบใส Invisalign® มีดังนี้
- ปัญหาสุขภาพช่องปากจากการจัดฟันน้อย เพราะ อุปกรณ์สามารถถอดเข้าออก ได้อย่างง่ายดาย จึงสะดวกต่อการดูแลสุขภาพช่องปากในระหว่างวัน อย่าง การแปรงฟัน หรือใช้ไหมขัดฟันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องกังวลว่า หลังมื้ออาหารจะมีเศษอาหารติดฟันอยู่หรือไม่
- ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบได้ตามปกติ ไม่ว่าลูกจะทำกิจกรรมท้าลุย อย่าง เซิร์ฟสเก็ต ว่ายน้ำ วิ่ง หรือเล่นฟุตบอล ก็ไม่ต้องคอยห่วงว่าจะเกิดอุบัติเหตุลวดเกี่ยวปากจนเป็นแผลใหญ่ หรือลวดแตกหักจนต้องไปพบทันตแพทย์แบบฉุกเฉิน
- เจ็บน้อย เพราะอุปกรณ์ผลิตจากวัสดุ SmartTrack™ ที่มีความยืดหยุ่นสูง ให้แรงในการเคลื่อนฟันที่คงที่
- เสริมความมั่นใจ การจัดฟันใส Invisalign® ช่วยให้เด็ก ๆ พูด หรือยิ้มได้อย่างไร้กังวล เพราะคนอื่นจะแทบมองไม่ออกเลยว่า กำลังใส่เครื่องมือจัดฟันแบบใสอยู่ เนื่องจาก Aligner มีสีใส และแนบสนิทไปกับตัวฟัน
- ทราบระยะเวลาในการจัดฟันตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถจำลองการเคลื่อนของฟันได้อย่างแม่นยำ ทำให้ทราบระยะเวลาในการจัดฟันแต่ละขั้นตอนได้ตั้งแต่เริ่มจัดฟัน
- ไม่ต้องพบทันตแพทย์บ่อย ๆ เนื่องจากเครื่องมือจัดฟันแบบใส Invisalign® มีการคาดคะเนผลลัพธ์ที่แม่นยำได้ตั้งแต่เริ่มต้น ทันตแพทย์เจ้าของเคสจึงไม่จำเป็นต้องนัดเด็ก ๆ เข้ามาเปลี่ยนอุปกรณ์บ่อย ๆ เหมือนการจัดฟันแบบโลหะ โดยอาจมีการนัดพบแพทย์เพียง 2 – 3 เดือนต่อครั้ง
- มอบประสบการณ์ที่ดีในระหว่างจัดฟัน บ่อยครั้งที่การมาพบหมอฟันกลายเป็นประสบการณ์ไม่น่าจดจำของเด็ก ๆ ด้วยความน่ากลัวของอุปกรณ์การแพทย์ และระยะเวลาแสนยาวนานที่ต้องนอนอยู่บนเตียงทำฟัน แต่ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของการจัดฟันใส Invisalign® ทำให้ใช้เวลาตรวจฟันต่อครั้งไม่นาน ทั้งยังสามารถคาดคะเนการเคลื่อนฟันของเด็ก ๆ ตามที่ทันตแพทย์กำหนดไว้ได้อย่างแม่นยำ จึงทำให้ไม่ต้องมาพบแพทย์บ่อย ๆ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจ อยากพาลูกรักไปจัดฟันแบบใส Invisalign® สามารถรับคำปรึกษาเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ได้ที่ Invisalign Centre สยามสแควร์ ซอย 7 หรือสามารถแอด LINE ID @invisalignTH เพื่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้น และสามารถชวนลูกรักมาทำแบบประเมินรอยยิ้มได้ที่ เว็บไซต์ Invisalign®
บทความที่เกี่ยวข้อง
รอยยิ้มสวยสดใสของลูก ออกแบบได้ด้วย การจัดฟันแบบใส
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!