แพ้ท้องกี่เดือนหาย อาการจะดีขึ้นเมื่อไหร่? รับมือยังไง แพ้ท้องแบบไหนต้องระวัง?

คุณแม่ท้องไตรมาสแรก อยากรู้ไหมว่า อาการแพ้ท้องจะอยู่กับเราไปนานเท่าไร มาดูคำตอบกันค่ะ
คุณแม่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก ท้องอ่อนๆ ที่กำลังพบกับภาวะแพ้ท้อง อาจจะพอทำความเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่คนท้องต้องเจอ แต่เมื่ออาการแพ้ท้องถาโถมมากขึ้น นานวันเข้าอาจเกิดคำถามว่า จะต้องแพ้ท้องไปนานแค่ไหน แพ้ท้องกี่เดือนหาย ควรจะรับมือกับอาการที่สร้างความอ่อนเพลียนี้อย่างไรดี แล้วมีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังการแพ้ท้องตามมา theAsianparent รวมคำตอบของความสงสัยต่างๆ นี้มาให้ค่ะ
▼สารบัญ
ทำไม? คุณแม่มีอาการแพ้ท้อง
จริงๆ แล้วอาการแพ้ท้องของคุณแม่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะครรภ์อ่อนๆ นั้นยังไม่สามารถสรุปที่มาได้อย่างชัดเจนค่ะ แต่คาดกันว่า อาจมีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงฮอร์โมนในการตั้งครรภ์ และสภาวะจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีความวิตกกังวล ความเครียด ซึ่งความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้สามารถส่งผลให้เกิดอาการแพ้ท้องได้ ยิ่งคุณแม่บางมีความวิตกกังวลมากขึ้น อาการแพ้ท้องอาจเป็นมากขึ้นได้ด้วย ส่วนคุณแม่ที่ไม่แพ้ท้อง ไม่ใช่เรื่องผิดปกตินะคะแต่อาจมีผลจากจิตใจที่มั่นคง ไม่กังวล หรือมีความเครียดน้อยนั่นเองค่ะ
ลักษณะอาการแพ้ท้องที่พบบ่อย |
|
แม่ท้อง แพ้ท้องกี่เดือนหาย อาการจะดีขึ้นเมื่อไหร่?
ตามปกติแล้ว 3 ใน 4 ของคุณแม่ตั้งครรภ์ จะมี “อาการแพ้ท้อง” (Morning Sickness) ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ คือเริ่มต้นประมาณเดือนแรก หรือสัปดาห์ที่ 4-6 โดยอาการจะเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นในเดือนต่อๆ ไป และมักจะหายไปในช่วงเดือนที่ 3 หรือประมาณสัปดาห์ที่ 12-14 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งคุณแม่บางคนอาจมีอาการแพ้ท้องนานกว่านี้ หรืออาจมีอาการแพ้ท้องเล็กน้อยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้คลอด
ดังนั้น คำถามที่ว่า แพ้ท้องกี่เดือนหาย จึงมีคำตอบว่าประมาณ 3 เดือนนั่นเองค่ะ โดยอาการแพ้ท้องมักจะมีความรุนแรงที่สุดในช่วงเดือนแรก แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนมีอาการคลื่นไส้เล็กน้อย ในขณะที่บางคนอาจมีอาการอาเจียนอย่างรุนแรง
รับมืออาการแพ้ท้องยังไงดี?
-
รับมืออาการแพ้ท้องตอนเช้า
อาการแพ้ท้อง ชื่อก็บอกอยู่แล้วค่ะว่า Morning Sickness ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ ในทุกๆ เช้าหลังตื่นนอนคุณแม่ควรหาของกินง่ายๆ เช่น ซีเรียล แครกเกอร์ วางไว้ใกล้ๆ กับเตียงนอน เพื่อที่หลังจากตื่นนอนจะสามารถกินเพื่อตอบสนองอาการอยากอาหารได้ในทันทีค่ะ
-
ดูแลอาการแพ้ท้องระหว่างวัน
- อย่าปล่อยให้ตัวเองหิว แต่ก็ไม่ควรกินเยอะ หรือกินตลอดเวลา แต่ควรกินอาหารทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง แบ่งการกินเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน หรือหาอาหารว่างเบาๆ มากินเสริม แทนการกินมื้อใหญ่ๆ 3 มื้อ การแบ่งมื้อแบบนี้จะช่วยให้กระเพาะไม่ว่าง ลดอาการคลื่นไส้ได้
- ดื่มน้ำก่อนหรือหลังอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อช่วยให้อาหารสามารถเคลื่อนย้ายและย่อยได้ง่ายขึ้น รวมถึงป้องกันการขาดน้ำ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการอาเจียนหรือคลื่นไส้
- แม้คุณแม่จะสามารถนอนพักผ่อนได้ตลอดวัน แต่ควรหลีกเลี่ยงการงีบหลับหลังมื้ออาหาร เพราะอาจทำให้อาการคลื่นไส้แย่ลงไปกว่าเดิม
- กินน้ำขิง หรือชาที่มีรสเปรี้ยว ซึ่งขิงสามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ดี โดยคุณแม่กินได้ทั้งขิงสด หรือน้ำขิง หรือชารสเปรี้ยวในช่วงที่รู้สึกไม่สบายด้วยอาการแพ้ท้อง
- หลีกเลี่ยงกลิ่นอาหาร หรือสิ่งใดก็ตามที่มีกลิ่นแรง เพราะอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้
-
ตอนเย็น
หลีกเลี่ยงการปรุงรสชาติอาหาร เพราะอาหารรสเผ็ด หรือมีรสเลี่ยน จะยิ่งเพิ่มระดับอาการคลื่นไส้ให้มากขึ้น คุณแม่ควรเลือกกินอาหารอ่อนๆ และไม่มีกลิ่น และพยายามเข้านอนให้เร็วขึ้น เพื่อให้ร่างกายของคุณแม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ช่วยลดความเหนื่อยล้า ร่างกายได้ฟื้นฟู และลดความเครียดที่อาจทำให้อาการแพ้ท้องรุนแรงขึ้น
แพ้ท้องแบบไหนที่ต้องระวัง?
ถึงแม้อาการแพ้ท้องจะเป็นอาการธรรมดาในระหว่างการตั้งครรภ์ แต่ยังมีบางกรณีที่ต้องระวังและต้องไปพบแพทย์ทันที ได้แก่
- อาเจียนอย่างรุนแรง อาเจียนบ่อย จนไม่สามารถดื่มน้ำหรือกินอาหารได้ อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำและขาดสารอาหาร หรือ “Hyperemesis Gravidarum” ควรได้รับการดูแลจากแพทย์
- น้ำหนักลดมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์ได้
- มีอาการปวดท้องรุนแรง เจ็บท้อง หรือมีเลือดออก ควบคู่กับอาการแพ้ท้อง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาภายในที่ต้องได้รับการตรวจจากแพทย์
- อาการแพ้ท้องรุนแรงในช่วงที่ไม่คาดคิด แม้จะผ่านพ้นช่วงไตรมาสแรกแล้ว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาแทรกซ้อนที่จะกระทบกับการตั้งครรภ์
การแพ้ท้องไม่มีระดับเกณฑ์วัดที่ชัดเจนนะคะว่ามากหรือน้อย แต่เป็นการพิจารณาจากอาการและสภาพร่างกายของคุณแม่เองเป็นหลักเท่านั้น แต่ละคนจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน คนที่จะประเมินได้ดีที่สุดคือสูตินรีแพทย์ โดยในเบื้องต้นคุณแม่อาจได้รับยาแก้แพ้ช่วยบรรเทาอาการอาเจียน ยาช่วยย่อย ยาขับลม แต่กรณีที่มีอาการแพ้ท้องรุนแรงข้างต้น ร่างกายจะขาดอาหาร อ่อนเพลีย พักผ่อนได้น้อย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ คุณแม่อาจต้องนอนพักเพื่อให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล เป็นการป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ และเพื่อตรวจพิจารณาการแพ้ท้องที่เป็นมากเพิ่มเติมอย่างละเอียดค่ะ
10 อาหารต้านอาการแพ้ท้อง | |
1. ขนมปัง | ขนมปังที่ทำจากธัญพืชอาจช่วยลดคลื่นไส้ได้ และควรเลือกขนมปังที่มีใยอาหารสูง |
2. ไข่ | มีโปรตีนที่ดี เป็นตัวช่วยในการลดอาการคลื่นไส้ได้ |
3. กล้วย | เป็นผลไม้ที่มีวิตามินบี 6 ช่วยเพิ่มพลังานแก่ร่างกาย ลดอาการคลื่นไส้ในช่วงตั้งครรภ์ |
4. นมเปรี้ยว | นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต อุดมไปด้วยโพรไบโอติก มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร |
5. ข้าวกล้อง | เป็นแหล่งพลังงานที่ดีและอาหารที่ทำให้รู้สึกอิ่ม |
6. น้ำมะนาว | น้ำมะนาวหรือน้ำมะเขือเทศสามารถช่วยลดคลื่นไส้ และมีประโยชน์จากวิตามิน C |
7. น้ำมะพร้าว | มีคุณสมบัติในการบรรเทาความร้อนในท้อง |
8. ซีเรียล | มีวิตามินบี 6 สูง เป็นหนึ่งในวิตามินที่ช่วยลดอาการคลื่นไส้ แต่ควรเลือกซีเรียลที่มีธัญพืชสูงและน้ำตาลต่ำ |
9. ผักใบเขียว | เต็มไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม วิตามิน A และ C ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง และช่วยให้แม่ท้องสดชื่นมากขึ้น |
10. แอปเปิ้ล | อุดมไปด้วยกากใยจำนวนมาก ซึ่งเป็นกากใยที่สามารถกำจัดสารเคมีบางชนิดที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ท้องหรืออาเจียนได้ |
ที่มา : www.phyathai.com , www.paolohospital.com , cryoviva.com
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เช็กอาการ! ตกขาวแบบไหน “ท้อง” ตกขาวคนท้องระยะแรก เป็นยังไง
คนท้องขึ้นเครื่องบิน กี่เดือนห้ามบิน! วิธีเตรียมพร้อมให้แม่ท้องเดินทางปลอดภัย
โฟลิก ห้ามกินพร้อมอะไร ? วิตามินบำรุงครรภ์ที่แม่ท้องต้อง “กินเป็น”