คุณพ่อคุณแม่ทุกคนต่างก็มีความพยายามที่จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด อยากให้เขามีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิต แต่รูปแบบการใช้ชีวิต และวิธีการเลี้ยงลูกของแต่ละครอบครัวนั้นแตกต่างกัน ลูกอาจไม่ได้มีความสุขในการเข้าสังคม เริ่มแยกตัวออกจากสังคม กลายเป็นเด็กเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง โดยมีคำที่ใช้เรียกพฤติกรรมเช่นนี้ว่า “ฮิคิโคโมริ ซินโดรม” ในบทความนี้ เราจะพาคุณพ่อคุณแม่ไปรู้จักว่า ฮิคิโคโมริ คืออะไร อาการเป็นอย่างไร และสามารถป้องกันได้อย่างไรค่ะ
สารบัญ
ฮิคิโคโมริ คืออะไร
“ฮิคิโคโมริ” (Hikikomori) เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ประมาณปี ค.ศ.2000 โดยคำว่า “ฮิคิโคโมริ” ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายตรงตัวว่า “การดึงตัวออกไป” หรือ “การเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง” ซึ่งใช้เพื่ออธิบายพฤติกรรมของคนที่เลือกที่จะแยกตัวออกจากสังคมภายนอก และใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องของตนเองเป็นเวลานานมากกว่า 6 เดือนโดยไม่ยอมไปโรงเรียนหรือไปทำงาน
ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ฮิคิโคโมริไม่ใช่ปัญหาสังคมภายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่เป็นปัญหาทางสังคมและสุขภาพหรือโรคระบาดเงียบทั่วโลก สำหรับในเอเชีย ทั้งในจีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ ก็กำลังประสบปัญหาดังกล่าวเช่นกัน
ปัจจัยที่ทำให้ฮิคิโคโมริแพร่ระบาดในเด็กและวัยรุ่น
1. ความกดดันในการเรียน
ความกดดัน และการแข่งขันสูงในสังคม การเลี้ยงดูที่เข้มงวด พ่อแม่ที่คาดหวังมากเกินไป อาจทำให้เด็กรู้สึกเหนื่อยล้า ขาดความมั่นใจในตัวเอง และเลือกที่จะหลีกเลี่ยงความกดดันเหล่านั้น
2. ขาดความรัก ความเอาใจใส่
เด็กที่ขาดการสนับสนุนจากครอบครัว อาจรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่มีความสุข จึงอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดภาวะซึมเศร้าในเด็กและเลือกที่จะแยกตัวออกจากสังคม
3. เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต
ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลและความบันเทิงได้โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยฮิคิโคโมริติดอยู่กับโลกออนไลน์ เล่นอินเทอร์เน็ต เล่นเกมส์ไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องสื่อสารกับใครโดยตรงแบบต่อหน้า
4. ภาวะวิตกกังวล และบาดแผลทางจิตใจ
ลูกอาจถูกเพื่อนแกล้ง ถูกเพื่อนล้อเลียน อ่อนไหวกับคำวิจารณ์ ทำให้กลัวการเข้าสังคม กลัวการถูกปฏิเสธ กลัวการถูกตัดสิน หรือกลัวที่จะทำอะไรผิดพลาด ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับคนอื่นๆ และเลือกที่จะแยกตัวออกจากสังคม
5. การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ที่รวดเร็ว
อาจทำให้เด็กรู้สึกไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ ในขณะที่พ่อแม่ก็ต้องดิ้นรนทำงาน หาเงิน จนไม่มีเวลาให้ลูก ทำให้เด็กเริ่มแยกตัวจากสังคม อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากพูดกับใคร
จากปัจจัยข้างต้น คุณพ่อคุณแม่จะเห็นได้ว่า ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเกิดในสังคมไทยเช่นเดียวกัน ทั้งความกดดันในการเรียน ความคาดหวังของพ่อแม่ การแข่งขันในสังคม การกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน และการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ จึงน่าเป็นห่วงว่า เด็กไทยก็มีความเสี่ยงป่วยฮิคิโคโมริไม่ต่างกัน
คุณพ่อคุณแม่จึงควรใส่ใจ และสังเกตพฤติกรรมของลูกอยู่เสมอ หากลูกมีพฤติกรรมที่แปลกไปจากเดิม เข้าข่ายอาการฮิคิโคโมริ ควรเอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันก่อนจะสายไป
เด็กป่วยฮิคิโคโมริ มีอาการอย่างไร
จะรู้ได้อย่างไร ว่าลูกมีอาการฮิคิโคโมริ ซินโดรม ผู้ป่วยมักจะมีลักษณะเด่น ดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม สังเกตได้จากลูกจะมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนภายนอกครอบครัว หรือแม้แต่สมาชิกในครอบครัวเองก็ไม่ค่อยออกมาให้เห็นหน้า
- ใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้อง ลูกมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน เล่นเกม ดูโทรทัศน์ หรือเล่นอินเทอร์เน็ตอยู่แต่ในห้อง
- วิตกกังวล ลูกมักจะรู้สึกวิตกกังวลในการเข้าสังคม มีความกลัวที่จะเผชิญหน้ากับคนอื่นๆ และอาจมีอาการใจสั่น เหงื่อออก
- ซึมเศร้า ลูกมักจะรู้สึกเศร้า หมดหวัง และไม่สนใจกิจกรรมที่เคยชอบทำ
- มีปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ไม่อาบน้ำ ใส่เสื้อตัวเดิมซ้ำๆ ห้องรก กินข้าวไม่ตรงเวลา หรือนอนตอนกลางวัน ตื่นตอนกลางคืน เป็นต้น
ฮิคิโคโมริ ซินโดรม ส่งผลกระทบต่อเด็กอย่างไร
กลุ่มเด็กและเยาวชนเป็นช่วงวัยที่สำคัญในการพัฒนาบุคลิกภาพและทักษะทางสังคม การที่เด็กต้องเผชิญกับภาวะนี้ อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตและพัฒนาการในหลายด้าน เช่น
- ด้านสุขภาพกาย เด็กที่ขาดการออกกำลังกาย กินอาหารไม่สมดุล นอนหลับไม่เป็นเวลา อาจเกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน
- ด้านสุขภาพจิต ความรู้สึกโดดเดี่ยว เหงา ซึมเศร้า วิตกกังวล และขาดความมั่นใจในตนเอง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยฮิคิโคโมริ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้นได้
- ด้านการเรียนรู้ ขาดแรงจูงใจในการเรียน ไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม และขาดปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน อาจส่งผลต่อผลการเรียนและพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก
- ด้านการทำงาน เมื่อเติบโตขึ้น อาจขาดทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และขาดประสบการณ์ในการทำงานจริง
- ด้านความสัมพันธ์ส่วนตัว การหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม ทำให้ขาดทักษะในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวในระยะยาว
การรักษา เด็กที่มีอาการฮิคิโคโมริ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากตัวเด็กเอง คุณพ่อคุณแม่ และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต โดยการรักษาจะเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การบำบัดทางจิตวิทยา และการใช้ยา (หากจำเป็น)
5 วิธีเลี้ยงลูกให้ห่างไกล “ฮิคิโคโมริ ซินโดรม”
ฮิคิโคโมริ ซินโดรม นับเป็นภัยเงียบที่ทุกครอบครัวไม่อยากเจอ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่คือคนสำคัญที่จะช่วยให้ลูกห่างไกลจากอาการนี้ได้ค่ะ มาดูกันว่าจะมีแนวทางการเลี้ยงลูกอย่างไร ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้กับลูก มีความสุขกับชีวิตและสังคมรอบตัว
1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก
- สื่อสารกันอย่างเปิดใจ เป็นพ่อแม่ที่ลูกกล้าที่จะพูดคุยและแบ่งปันความรู้สึกด้วย
- ให้เวลาคุณภาพ ทำกิจกรรมร่วมกันกับลูก เพื่อสร้างความผูกพันและความใกล้ชิดกัน
- ฟังลูกอย่างตั้งใจ เมื่อลูกเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง ให้คุณพ่อคุณแม่ฟังอย่างตั้งใจและไม่ตัดสิน
- แสดงความรักและความเข้าใจ ให้ลูกรู้สึกว่าเขามีค่าและได้รับการยอมรับ
2. สนับสนุนลูกเสมอ
- ส่งเสริมให้ลูกทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งกิจกรรมภายในบ้านและกิจกรรมนอกบ้าน เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และได้พบปะผู้คน
- สนับสนุนให้ลูกมีเพื่อน ช่วยให้ลูกได้มีโอกาสพบปะเพื่อนๆ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
- ช่วยเหลือลูกในการแก้ปัญหา เมื่อลูกเผชิญกับปัญหา คุณพ่อคุณแม่ช่วยหาทางออก และให้กำลังใจลูก
- ส่งเสริมให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเอง ชื่นชมและให้กำลังใจลูกเมื่อทำสิ่งต่างๆ ได้สำเร็จ
3. สังเกตพฤติกรรมของลูกอย่างใกล้ชิด
- สังเกตสัญญาณเตือน ถ้าลูกมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป เช่น เก็บตัว ไม่ค่อยพูดคุย หรือมีอารมณ์แปรปรวน ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หากคุณพ่อคุณแม่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูก ควรปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยา
4. สร้างบรรยากาศในบ้านที่อบอุ่น
- แสดงความรักและความเอาใจใส่ สร้างบรรยากาศในบ้านที่อบอุ่นและปลอดภัย
- ให้กำลังใจและสนับสนุน ให้กำลังใจลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว
- แก้ไขปัญหาภายในครอบครัว หากมีปัญหาภายในครอบครัว ควรแก้ไขให้ตรงจุด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของลูก
5. สร้างสมดุลระหว่างหน้าที่และความสนุก
- ไม่กดดันลูกมากเกินไป ให้ลูกได้มีเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ
- สอนให้ลูกมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง จะช่วยให้ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจในตนเอง สามารถดูแลตนเองได้
- ส่งเสริมให้ลูกมีความสมดุลในชีวิต ทั้งเรื่องการเรียน การทำงาน และการพักผ่อน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก โดยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้าสังคม การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขค่ะ
ที่มา : สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย , sciencedirect
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
พ่อแม่ 10 แบบที่ทำให้ ลูกไม่มีความสุข คุณเป็นแบบนั้นอยู่หรือเปล่า?
พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตลูก : 5 ความทรงจำดีๆ ที่พ่อแม่ควรมีร่วมกับลูกในวัยเด็ก
มารยาททางสังคมที่ควรสอนลูก ปลูกฝังลูกให้เป็นเด็กดี