ยาอันตรายที่แม่ท้องต้องเลี่ยง เพราะอาจเสี่ยงกับลูกในครรภ์ การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่สำคัญและละเอียดอ่อน ยาที่คุณแม่ทานเข้าไปจะส่งผลโดยตรงต่อลูกน้อยในครรภ์ ดังนั้น การเลือกใช้ยาจึงต้องรอบคอบเป็นพิเศษ เพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และลูกน้อย
ทำไมยาบางชนิดจึงเป็นอันตรายต่อคุณแม่ตั้งครรภ์?
- การดูดซึมเข้าสู่รก: ยาที่คุณแม่ทานเข้าไปจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และผ่านเข้าสู่รก ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้
- การรบกวนการพัฒนาของอวัยวะ: ยาบางชนิดอาจไปรบกวนการพัฒนาของอวัยวะสำคัญของทารก เช่น หัวใจ สมอง หรือแขนขา
- การเกิดภาวะแทรกซ้อน: ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ได้ เช่น การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อยเกินไป หรือความผิดปกติของทารกแรกเกิด
ยาอันตรายที่แม่ท้องต้องเลี่ยง
1. ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs
ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือ Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และนาโพรเซน เป็นยาที่นิยมใช้บรรเทาอาการปวดและอักเสบ แต่สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว ยาเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจส่งผลกระทบต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้
เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร: การใช้ยา NSAIDs ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้
- ส่งผลต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์: ยา NSAIDs อาจไปรบกวนการพัฒนาของอวัยวะสำคัญของทารก เช่น หัวใจ ปอด และไต โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์
- ปัญหาภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ: การใช้ยา NSAIDs ในระยะยาวหรือในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดปัญหาภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ เช่น ภาวะน้ำคร่ำน้อย ภาวะความดันโลหิตสูงในปอดของทารกแรกเกิด และปัญหาการแข็งตัวของเลือด
- ส่งผลต่อการคลอด: ยา NSAIDs อาจทำให้การคลอดล่าช้า หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการคลอดได้
2. ยารักษาสิวที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ
กรดวิตามินเอ หรือ เรตินอยด์ เป็นสารที่พบได้ในยารักษาสิวหลายชนิด เช่น เรติน-เอ หรืออิโซเทรติโนอิน ยาเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการรักษาสิว แต่สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว การใช้ยารักษาสิวที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอถือเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง
เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ยารักษาสิวที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ
- ความผิดปกติของทารกในครรภ์: กรดวิตามินเอสามารถซึมผ่านรกเข้าสู่ทารกในครรภ์ได้ และอาจทำให้เกิดความผิดปกติของทารกได้หลายระบบ เช่น
- ความผิดปกติของใบหน้าและกะโหลกศีรษะ: ทารกอาจมีใบหน้าผิดรูป หรือมีความผิดปกติของกะโหลกศีรษะ
- ความผิดปกติของหัวใจ: อาจทำให้เกิดความผิดปกติของหัวใจ
- ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง: อาจส่งผลต่อการพัฒนาของสมองและระบบประสาท
- ความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร: การใช้กรดวิตามินเอในปริมาณมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้
- ความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด: การใช้กรดวิตามินเออาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้
3. ยาปฏิชีวนะบางชนิด
การใช้ยาปฏิชีวนะในคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากยาบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้
เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงยาปฏิชีวนะบางชนิด
- การดูดซึมเข้าสู่รก: ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่สามารถผ่านรกเข้าสู่ทารกในครรภ์ได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของอวัยวะต่างๆ ของทารก
- ผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของทารก: ยาปฏิชีวนะบางชนิดอาจทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ เช่น
- ยาเตตร้าไซคลิน: ส่งผลต่อการสร้างกระดูกและฟันของทารก ทำให้ฟันของทารกมีสีเหลืองหรือสีน้ำตาล หรือทำให้กระดูกและสมองของทารกผิดปกติ
- ยาฟลูออโรควิโนโลน: อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดข้ออักเสบในทารกแรกเกิด
- ยาซัลฟา: อาจทำให้ทารกคลอดออกมาแล้วตัวเหลือง
- ผลกระทบต่อจุลินทรีย์ในลำไส้: ยาปฏิชีวนะอาจทำลายจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ของทั้งแม่และลูก ทำให้เกิดการติดเชื้อราในช่องคลอด หรือท้องเสียได้
- ผลกระทบต่อการให้นมบุตร: ยาปฏิชีวนะบางชนิดอาจขับออกมาทางน้ำนม ทำให้ทารกที่ได้รับนมแม่มีผลข้างเคียงจากยาได้
4. ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เป็นยาที่ใช้ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด แต่สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว การใช้ยาชนิดนี้อาจมีความเสี่ยงและต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากยาบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้
เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดบางชนิด
- การดูดซึมเข้าสู่รก: ยาต้านการแข็งตัวของเลือดบางชนิดสามารถผ่านรกเข้าสู่ทารกในครรภ์ได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก
- ความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก: ยาต้านการแข็งตัวของเลือดจะไปยับยั้งการแข็งตัวของเลือด หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปหรือไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกได้ทั้งในคุณแม่และทารกในครรภ์
- ความผิดปกติของทารกในครรภ์: ยาต้านการแข็งตัวของเลือดบางชนิด เช่น วาร์ฟาริน อาจทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ เช่น ความผิดปกติของกระดูกและใบหน้า
- ความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด: การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดได้
5. ยาแก้ไอ ยาขับเสมหะ และยาละลายเสมหะ
การใช้ยาแก้ไอ ยาขับเสมหะ และยาละลายเสมหะในคุณแม่ตั้งครรภ์ ควรใช้อย่างระมัดระวังและภายใต้คำแนะนำของแพทย์เนื่องจากยาเหล่านี้บางชนิดอาจมีผลกระทบต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้
เหตุผลที่ควรระมัดระวัง
- การดูดซึมเข้าสู่รก: ยาเหล่านี้บางชนิดสามารถผ่านรกเข้าสู่ทารกในครรภ์ได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก
- ผลข้างเคียง: ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ง่วงซึม คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทั้งคุณแม่และทารก
- ยังไม่มีข้อมูลการวิจัยเพียงพอ: สำหรับยาบางชนิด ยังไม่มีข้อมูลการวิจัยที่ชัดเจนว่าปลอดภัยสำหรับการใช้ในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่
ยาแก้ไอ ยาขับเสมหะ และยาละลายเสมหะที่ควรระวัง
- ยาที่มีส่วนผสมของ codeine: ยานี้มีฤทธิ์กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง อาจทำให้ทารกเกิดภาวะหายใจช้าลง
- ยาที่มีส่วนผสมของ alcohol: แอลกอฮอล์อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์
- ยาที่มีส่วนผสมของ bromhexine: ควรหลีกเลี่ยงในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
6. ยานอนหลับ และยากล่อมประสาท
การใช้ยานอนหลับและยากล่อมประสาทในคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากยาเหล่านี้มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง และอาจส่งผลกระทบต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้
เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง
- ผลกระทบต่อระบบประสาทของทารก: ยานอนหลับและยากล่อมประสาทสามารถผ่านรกเข้าสู่ทารกในครรภ์ได้ และอาจส่งผลต่อการพัฒนาของระบบประสาทส่วนกลางของทารก ทำให้ทารกเกิดมาแล้วมีปัญหาในการหายใจ หรือมีอาการง่วงซึม
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด: ยาบางชนิดอาจกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
- ผลข้างเคียงอื่น ๆ : ยานอนหลับและยากล่อมประสาทอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ ได้ เช่น ง่วงซึม คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทั้งคุณแม่และทารก
7. ยาต้านไวรัสบางชนิด
การใช้ยาต้านไวรัสในคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากยาเหล่านี้มีผลต่อการทำงานของเซลล์ในร่างกาย และอาจส่งผลกระทบต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้
เหตุผลที่ควรระมัดระวัง
- การดูดซึมเข้าสู่รก: ยาต้านไวรัสบางชนิดสามารถผ่านรกเข้าสู่ทารกในครรภ์ได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก
- ผลกระทบต่ออวัยวะของทารก: ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ ของทารก เช่น หัวใจ ปอด หรือสมอง
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด: ยาบางชนิดอาจกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
- ผลข้างเคียงอื่น ๆ : ยาต้านไวรัสอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทั้งคุณแม่และทารก
สิ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรทำก่อนจะใช้ยา
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทุกชนิด: ก่อนใช้ยาใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติกรรมและนรีเวช เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยา
- แจ้งให้แพทย์ทราบถึงการตั้งครรภ์: ก่อนรับการรักษาใด ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่ากำลังตั้งครรภ์
- อ่านฉลากยาอย่างละเอียด: ตรวจสอบส่วนประกอบของยา และคำเตือนที่ระบุไว้บนฉลากยา
การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ การดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น หากคุณแม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และลูกน้อย
ขอขอบคุณที่มา : care.co.th
บทความอื่น ๆ ที่นาสนใจ :
11 ยาอันตรายห้ามใช้กับคนท้อง แม่ท้องต้องรู้! ยาอันตรายอาจทำให้ลูกในครรภ์พิการได้
12 ยาอันตรายต่อลูก ที่พ่อแม่ต้องรู้ ก่อนหยิบให้ลูกน้อยกิน
ยาอันตรายห้ามใช้กับลูก 8 ยาอันตรายอย่าให้หนูกินเลยแม่!
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!