หุ่นนิ้ว ของเล่นเสริมพัฒนาการ
ดวงตาของเด็กแรกเกิดยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนสายตาของเรา ดังนั้นทารกจะมองเห็นเพียงแค่ระยะใกล้ประมาณ 8-15 นิ้ว หรือระยะห่างเวลาดูดนมกับใบหน้าของเราเท่านั้น หากคุณลองเอาวัตถุมาถือให้อยู่ในช่วงที่สายตาของลูกสามารถโฟกัส ลูกก็จะติดตามมองวัตถุนั้นซึ่งเป็นการเสริมสร้างพัฒนาการทางสายตาได้ทางหนึ่ง หุ่นนิ้ว ของเล่นเสริมพัฒนาการ จึงเป็นอีกหนึ่งของเล่นที่น่าสนใจทีเดียวค่ะ
หุ่นนิ้วมีขนาดเล็กมีสีสันและรูปร่างหลายแบบ หาซื้อได้ง่าย ที่อิเกียขายชุดละ 129 บาทเองค่ะ เหมาะสำหรับการกระตุ้นพัฒนาการทางสายตา และการมีส่วนร่วมของทารกแรกเกิดถึงสี่เดือน เมื่อคุณอยากเล่นเกมส์นี้กับลูกก็เพียงแค่วางลูกให้นอนหงายบนเบาะ ใส่หุ่นนิ้วที่นิ้วของคุณ คอยสังเกตว่าลูกสามารถโฟกัสหุ่นนิ้วที่นิ้วของคุณ จากนั้นก็โค้งนิ้วมือที่สวมหุ่นมือตัวที่คุณอยากเล่นกับลูกไปข้างหน้า และกล่าวคำทักทาย เช่น “สวัสดีจ้าเด็กน้อย ฉันชื่อสิงโตน้อย หนูชื่ออะไรจ๊ะ” เป็นต้น
การเล่นหุ่นนิ้วนี้ เป็นการช่วยเสริมพัฒนาการของลูกวิธีหนึ่ง แต่คุณอย่าเพิ่งคาดหวังว่าลูกจะโต้ตอบคุณ และอย่าท้อแท้หากลูกนอนเฉย ๆ เท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วลูกเองก็สนุกที่คุณได้ใส่ใจ และเล่นกับเขา นับเป็นการสร้างความคุ้นเคยระหว่างคุณกับลูกด้วย
การส่งเสริมพัฒนาการให้กับลูกน้อย สามารถทำได้ตั้งแต่แรกเกิด และไม่เพียงแต่ด้านการมองเห็นเท่านั้น แต่ยังมีด้านอื่น ๆ ที่สำคัญอีกด้วย หากอยากให้ลูกฉลาด พ่อแม่ต้องฝึก 6 ทักษะนี้ค่ะ
บทความ : เลี้ยงลูกให้ฉลาดทำอย่างไร ?
1. การสัมผัสวัตถุต่างๆ
เวลาที่พ่อแม่ให้ลูกน้อยได้ฝึกการจับสัมผัสวัตถุต่างๆ พ่อแม่ไม่จำเป็นให้ลูกจับที่เป็นของแข็งเสมอไป อาจจะให้ลองของจำพวกของเหลวบ้าง เช่น เวลาอาบน้ำ พ่อแม่อาจลองให้ลูกได้สัมผัสทั้งน้ำอุ่น น้ำเย็น ให้เด็กได้รู้จักแยกแยะด้วยการสัมผัส ให้เขาได้รู้สึกถึงความแตกต่าง ถึงแม้ว่าสิ่งที่ตาเห็นจะเหมือนกัน แต่พอสัมผัสแล้วมันต่างกัน
กิจกรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้ลูกได้ฝึกสัมผัสของที่หลากหลาย คือการพาออกไปเดินเล่นนอกบ้าน ให้ลูกได้จับ ดิน หิน ทราย ใบไม้ ต้นไม้ โดยเฉพาะหินที่มีหลายรูปทรง เด็กๆ จะได้รู้ว่าสิ่งของที่แม้จะเป็นชนิดเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นที่ต้องมีรูปร่างหรือรูปทรงที่เหมือนกันได้
ถ้าพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกได้สนุกกับการสัมผัส ก็ลองให้เขาวาดรูปสิ่งของที่สัมผัสลงในกระดาษ ว่าเด็กๆ ไปเจออะไรบ้างนอกบ้าน เพื่อให้น้องๆ ได้ฝึกคิดและสนุกกับการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ หรือจะเป็นการปั้นดินนน้ำมัน แป้งโดว์ ซึ่งจะทำให้น้องๆ ได้ใช้จินตนาการอย่างสร้างสรรค์ด้วยค่ะ
2. ฝึกการมองเห็น
ตัวช่วยในการฝึกคงนี้ไม่พ้นของเล่น ตุ๊กตา หนังสือที่สีสันสดใส พ่อแม่อาจจะใช้สิ่งนี้เป็นกิจกรรมเล่นกับลูกได้ เช่น การอ่านหนังสือนิทาน หนังสือผ้าที่ให้ลูกได้จับแบบไม่ต้องกลัวกระดาษบาดมือ หรือปาก เนื่องจากหนูๆ วัยนี้ชอบหยิบของใส่ปาก พ่อแม่ระวังไว้หน่อยก็ดีนะคะ ถ้าลูกโตขึ้นมาหน่อยก็ควรให้ได้สนุกกับการวาดภาาพ ระบายสี หรือเป็นการต่อจิ๊กซอว์ก็ได้ค่ะ
3. ด้านการฟัง
วิธีฝึกที่ง่ายที่สุด คือการคุบกับลูกบ่อยๆ เพราะลูกน้อยจะเกิดการจดจำของโทนเสียงสูง-ต่ำ คำศัพท์ใหม่ๆ โดยเฉพาะถ้าอยากให้ลูกพูดได้ห่ยๆ ภาษาก็ต้องเริ่มตั้งแต่เล็กๆ นี้แหละดีที่สุด แน่นอนว่าการสอนลูกหลายๆ ภาษาพร้อมกัน คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ลูกเกิดความสับสน เด็กพูดช้าไปบ้าง แต่พอโตขึ้นหน่อย เด็กจะเริ่มแยกแยะได้ และจะพูดโต้ตอบกับเราได้เองค่ะ
ไม่เพียงแค่นั้น การใช้เสียงเพลงก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกน้อยได้ฝึกการฟังที่ดีด้วย การร้องเพลง เล่นดนตรี ก็เช่นกัน เพราะจะทำให้เขาได้เข้าใจจังหวะเพลง การเคลื่อนไหวร่างกายให้เข้ากับจังหวะ แรกๆ เด็กๆ อาจมีคร่อมจังหวะบ้างก็ไม่แปลก พอได้ยินบ่อยๆ สิ่งเหล่านี้ก็จะหายไป ไม่แนน่อาจจะกลายเป็นกิจกรรมที่น้องๆ ชอบมากก็ได้จริงไหมคะ
4. การรับรสต่างๆ
พ่อแม่ส่วนใหญ่จะเลือกอาหารที่ไม่ปรุงรสให้ลูกทาน ทำให้ลูกๆ ชินกับรสชาติอาหารจืดๆ บ้าง หรือรสตามธรรมมชาติบ้างๆ จริงๆ แล้วอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงรสเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย แต่พ่อแม่ก็ควรฝึกให้ลูกได้ลองกินอาหารในรสชาติอื่น ให้รู้ว่าแบบนี้เรียกว่าหวาน เค็ม เปรี้ยว ขมน่ะ หรือจะลองให้ลูกลองปรุงรสชาติอาหารที่ตนเองชอบดู ถ้าใส่น้ำตาลเท่านี้จจะหวานไปไหม ใส่น้ำปลาเท่านี้จะเค็มหรือเปล่า อีกทั้งน้ำปลาแต่ละยี่ห้อก็มีความเค็มไม่เท่ากันอีก ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ลูกได้มีประสาทสัมผัสที่ดีอย่างแน่นอน
5. การรับรู้กลิ่น
เด็กๆ เมื่อยังเล็กๆ คงแยกแยะไม่ออกว่ากลิ่นนั้นกลิ่นนี้คืออะไร เหม็นหรือไม่เหม็น คงจะมีแต่ชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น บางทีการที่ให้ลูกได้รับรู้กลิ่นก็จะทำให้เขาได้รู้จักการระวังตัว เช่น กลิ่นไหม้ ถ้าลูกได้กลิ่นแบบนี้เมื่อไหร่ในบ้าน แสดงว่าเป็นสัญญาณไม่ดีแล้ว หรือกลิ่นอาหารที่เหม็นเน่า แสดงว่าลูกไม่ควรกินมันน่ะ เดี๋ยวจะป่วย กลิ่นสารเคมีในบ้านจากน้ำยาล้างห้องน้ำ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่จะบอกให้ลูกรู้ว่าอย่าสูดดมมันมากเกิดไป
นอกจากนี้ การให้ลูกได้ลองดมกิ่นคือ ดอกไม้ และผลไม้ชนิดต่างๆ จะทำให้เขาแยกแยะสิ่งเหล่านั้นได้ดี ซึ่งพ่อแม่อาจใช้การดมกลิ่นเป็นเกมก็ได้ เช่น เวลาที่คุณแม่ไปเลือกซื้ออาหารหรือของเข้าบ้าน ก็ลองหยิบจับผักหรือผลไม้บางชนิดให้ดม หรือจะนำมาเล่นเกมปิดตาทายชนิดผักและผลไม้กับลูกก็ได้ ซึ่งเป็นเกมที่สนุก แถมไม่ต้องเสียเงินเยอะ เนื่องจากคุณแม่ต้องซื้อมาทำอาหารอยู่แล้วใช่ไหมคะ
6. ฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
กล้อมเนื้อเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กทรงตัวได้ แถมยังหยิบจับอะไรก็สะดวกไปหมด กิจกรรมการเคลื่อนไหวต่างๆ ของร่างกายจะช่วยให้ลูกน้อยได้พัฒนาทักษะการทรงตัวที่ดี เช่น การคลาน วิ่ง เดินเร็ว การกระโดด ห้อยโหน ทั้งมีจะเป็นตัวช่วยให้ลูกน้อยมีการเคลื่อนไหนร่างกายที่คล่องแคล่ว ว่องไว โดยพ่อแม่อาจใช้กีฬาเข้ามาช่วย เช่น ยิมนาสติก ว่ายน้ำ บัลเล่ต์ หรือเทควันโด เป็นต้น ไม่แน่เด็กๆ อาจกลายเป็นนักกีฬาคนเก่งมากความสามารถก็นะคะ
อ้างอิง : honey.nine
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
วิธีเล่นแบบไหนช่วยเสริมพัฒนาการลูก
ของเล่นที่เหมาะกับเด็กทารกวัย 0-6 เดือน
ฝึกลูกให้ฉลาด ด้วย Executive Functions (EF) ฝึกสมองลูกด้วยงานบ้านง่าย ๆ