เพื่อเป็นอุทาหรณ์กับคุณแม่ท่านอื่น ๆ แม่จึงได้แชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นผ่านเพจดังอย่างนมแม่แสนอร่อย เพื่อให้รู้ว่าการแคะหูลูกนั้นอันตรายกว่าที่เราคิดมากขนาดไหน
คุณแม่เล่าว่า ในขณะที่คุณแม่ก็กำลังจะเช็ดตัวให้ลูกหลังจากที่ลูกอาบน้ำเสร็จ ลูกก็ได้เอามือแคะเข้าไปที่หู เหมือนกับว่าน้ำจะเข้าหูลูกอย่างไรอย่างนั้น คุณแม่จึงใช้สำลีก้านปั่นแคะหูน้อง แต่ครั้งนี้น้องไม่ยอมอยู่เฉยเหมือนทุกครั้ง จึงทำให้ก้านสำลีนั้นปั่นเข้าไปลึก น้องจึงร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด คุณแม่จึงปลอบน้องจนน้องหยุดร้อง และก็คิดว่าคงไม่มีอะไร
พอเช้ามา สังเกตที่หูของน้องก็มีเลือดไหลออกมา จึงรีบพาไปหาคุณหมอ เมื่อถึงโรงพยาบาล คุณหมอก็ใช้เครื่องตรวจดู และพบว่า หูของน้องนั้นเป็นแผล โชคดีมาก ๆ ที่ไม่โดนแก้วหู เพราะจากจุดที่เป็นแผลนั้น ห่างกับแก้วหูลูกเพียงแค่นิดเดียว มาถึงตอนนี้เลือดยังไม่หยุดไหลเลย
และนี่คือสิ่งที่คุณแม่ท่านนี้อยากฝากไว้ “อยากฝากว่าอย่าแคะหรือใช้สำลีก้าน หรืออะไรก็ตามแหย่เข้าไปในหู หรือจมูกของลูกเด็ดขาด ถ้าหากอยากทำความสะอาดแนะนำให้เช็ดบริเวณรอบ ๆ พอ”
โชคดีที่น้องไม่เป็นอะไรมาก และเพื่อเป็นประโยชน์กับทุก ๆ ครอบครัว สามารถอ่านวิธีการดูแลสุขภาพหูของลูกน้อยได้ที่หน้าถัดไปค่ะ
ดูแลสุขภาพหูลูกน้อยอย่างไรให้ถูกวิธี
ผศ.นพ.จำรูญ ตั้งกีรติชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โสต ศอ นาสิกแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลสุขภาพหูลูกน้อยให้ถูกวิธี ดังนี้
1. การทำความสะอาดหู
ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำบิดหมาดเช็ดบริเวณใบหู และรูหูเท่าที่นิ้วจะเข้าไปได้
2. ขี้หู
– ขี้หูเป็นสิ่งที่ร่างกายผลิตขึ้นตามธรรมชาติ
– ขี้หูบางคนมีลักษณะแห้ง บางคนมีลักษณะเปียก
– หากขี้หูมีจำนวนมากจะร่วงหรือหล่นออกมาเองจึงไม่จำเป็นต้องปั่นหรือแคะหู
– สำหรับคนที่มีขี้หูมากจับเป็นก้อนอุดตัน ทำให้ได้ยินเสียงไม่ชัดเจน ทำให้รู้สึกว่าหูอื้อ ไม่ควรแคะหูด้วยที่แคะหู กิ๊บเสียบผมหรือไม้จิ้มฟัน เด็ดขาด เพราะอาจอันตรายต่อเยื่อแก้วหู ผนังรูหู อาจเป็นแผลหรืออักเสบได้ จะนำเชื้อโรคเข้าสู่ช่องหูโดยไม่รู้ตัว
– ควรใช้น้ำมันกลีเซอรีนหรือน้ำมันมะกอกหยอดหูวันละ 2 ครั้ง จะทำให้ขี้หูนิ่มและละลายหลุดออก
– หากยังมีอาการปวดหูหรือได้ยินไม่ชัดเจน ต้องไปพบคุณหมอเพื่อตรวจอย่างละเอียดต่อไป
3. เมื่อเป็นหวัด เจ็บคอ
เมือลูกน้อยมีอาการเป็นหวัดหรือเจ็บคอ หากลูกสั่งน้ำมูกเป็นแล้ว ต้องระมัดระวังอย่าให้ลูกสั่งน้ำมูกแรง ๆ หรืออุดจมูกข้างใดข้างหนึ่งในขณะที่สั่งน้ำมูก เพราะจะทำให้เชื้อโรคในคอและจมูกดันเข้าสู่หูชั้นกลาง ทำให้เกิดการติดเชื้อและอาจเป็นหูน้ำหนวกได้
4. หวัดที่เกิดจากภูมิแพ้
หวัดที่เกิดจากภูมิแพ้มักมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคจากหูชั้นกลางอักเสบจาก การติดเชื้อแทรกซ้อน ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้จะปลอดภัยที่สุด
5. ระวังอย่าให้หูกระทบกระแทกแรงๆ
คุณพ่อคุณแม่ต้องระมัดระวังอย่าให้หูของลูกน้อยเกิดการกระทบกระแทกแรง ๆ เพราะจะทำให้เยื่อหูฉีกขาดหรือกระดูกหูหลุด จนทำให้สูญเสียการได้ยิน
6. อย่าตะโกนหรืออยู่ในที่มีเสียงดังมาก ๆ
สถานที่ที่มีเสียงดังหรือบริเวณที่มีเสียงอึกทึก เช่น บริเวณที่จัดงานมีเครื่องเสียงดัง ๆ เสียงเครื่องจักร เสียงเจาะถนน เป็นต้น เสียงดังเหล่านี้เป็นอันตรายต่อหูของลูกน้อยหรือแม้แต่คุณพ่อคุณแม่เองก็อาจ ได้รับอันตรายหากได้รับเสียงดังมากเกินไป
7. แมลงเข้าหู
หากบังเอิญมีแมลงเข้าหู สิ่งสำคัญของการปฐมพยาบาล คือ ห้ามแคะออก เพราะจะทำให้แมลงเข้าไปในหูลึกยิ่งขึ้น สิ่งที่ต้องปฏิบัติ คือ
– ควรใช้น้ำสะอาดหรือน้ำมันที่ปลอดภัย เช่น น้ำมันมะกอก หยอดลงในรูหู ทิ้งไว้สักครู่เพื่อให้แมลงตาย
– เอียงหูให้น้ำมันไหลออกมาพร้อมแมลง แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาด
– หากเป็นเวลากลางคืน อาจใช้วิธีปิดไฟในห้องให้มืด แล้วใช้ไฟฉายส่องเข้าไปในรูแสงไฟจะล่อแมลงออกมาได้
8. สังเกตอาการผิดปกติที่เกิดกับหู
อาการผิดปกติที่คุณพ่อคุณแม่สังเกตได้ คือ หูอื้อ ปวดหู คันหู ซึ่งเจ้าหนูจะแสดงอาการโดยมักจะเอามือจับหู เกาหูบ่อย ๆ หากมีอาการปวดหูจะร้องโยเย เอามือจับหู ดึงหู ให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตว่า มีน้ำหนองหรือเลือดไหลออกจากหูหรือไม่ หรือการฟังเสียงลดลง เรียกแล้วลูกไม่ได้ยิน ไม่หันมามอง หากพบอาการเช่นนี้รีบไปพบคุณหมอโดยด่วนค่ะ เพราะอาจเกิดอาการแก้วหูทะลุหรืออักเสบ ต้องระวังอย่าให้น้ำเข้าหูขณะอาบน้ำ หรือสระผม ควรใช้สำลีอุดหูไว้ก่อน
ที่มา: เพจนมแม่แสนอร่อย
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
คู่มือป้องกันและดูแลลูกยามหน้าฝนมาเยือน
ทารกทรงตัวดีส่งสัญญาณว่าสมองทำงานดี