X
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้าเข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ตั้งครรภ์
    • คำนวณวันคลอด
    • ฉันกำลังตั้งครรภ์
    • ไตรมาสที่ 1
    • ไตรมาสที่ 2
    • ไตรมาสที่ 3
    • Project Sidekicks
    • ตั้งชื่อลูก
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • อีเว้นท์
    • TAP Awards Winners
    • TAP idol
    • TAP x Safari Largest Treasure Hunt
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

ยาลดไข้สำหรับเด็ก เลือกใช้ให้ฉลาดและปลอดภัยเพื่อลูกน้อย

บทความ 3 นาที
ยาลดไข้สำหรับเด็ก เลือกใช้ให้ฉลาดและปลอดภัยเพื่อลูกน้อย

ยาลดไข้สำหรับเด็กที่ใช้กันอยู่แพร่หลายในปัจจุบันมีอยู่ 2 ชนิด คือ พาราเซตามอล (paracetamol) และ ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen ) ยาทั้ง 2 ชนิดแตกต่างกันอย่างไร คุณแม่ควรเลือกใช้อย่างไรให้ฉลาดและปลอดภัย คำตอบอยู่ที่นี่

ยาลดไข้สำหรับเด็ก ยาลดไข้ เลือกใช้ให้ฉลาดและปลอดภัยเพื่อลูกน้อย

ยาลดไข้สำหรับเด็ก

เมื่อลูกมีไข้ คุณพ่อคุณแม่ควรใช้การเช็ดตัวเพื่อลดไข้ก่อน แล้วจึงพิจารณาใช้ยาลดไข้ เนื่องจากการใช้ยาลดไข้สำหรับเด็กโดยเฉพาะเด็กเล็ก ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเพราะอาจเกิดผลข้างเคียงหากใช้ในปริมาณที่เกินขนาด หรือใช้บ่อยเกินไป ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรทราบวิธีเลือกใช้ยาลดไข้สำหรับเด็กอย่างถูกต้องค่ะ ยาลดไข้สำหรับเด็ก เลือกใช้ให้ฉลาดและปลอดภัยเพื่อลูกน้อย ในปัจจุบันมีอยู่ 3 ชนิด คือ ไอบูโปรเฟน แอสไพริน และพาราเซตามอลยาทั้ง 3 ชนิดต่างกันอย่างไร

ทานยาพาราเซตามอลครั้ง

ท านยาพาราเซตามอลครั้ง

ยาลดไข้

  1. ยาพาราเซตามอลเป็นยาลดไข้ที่มีความปลอดภัยสูงในเด็ก ตัวยาพาราเซตามอล เป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลาย และคุณหมอนิยมจ่ายยานี้เป็นอันดับแรก โดยยาพาราเซตามอลมีทั้งชนิดน้ำ สำหรับเด็กเล็ก และชนิดเม็ด สำหรับเด็กโต โดยขนาดยาที่ใช้คือ 10-15 มิลลิกรัมของยา ต่อน้ำหนักตัวของเด็กหนึ่งกิโลกรัม ใช้ได้ทุก 4-6 ชั่วโมงเวลามีไข้ แต่วันหนึ่งไม่ควรเกิน 5 ครั้ง และไม่ควรทานติดต่อกันเกิน 3-5 วัน หากเด็กมีอาการไข้ติดต่อกันนานเกิน 3 วัน ควรไปพบคุณหมอเพื่อหาสาเหตุของไข้
  2. ยาไอบูโปรเฟน บลูเฟ่น เป็นยาแก้ปวดลดไข้ในกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่ยาสเตียรอยด์ สามารถลดอาการไข้สูงได้ดี แต่มีผลข้างเคียงคือ ทำให้เลือดออกง่ายเนื่องจากเกร็ดเลือดทำงานผิดปกติ ต้องระมัดระวังในผู้ป่วยที่ยังไม่ทราบว่าเป็นไข้จากโรคไข้เลือดออกหรือไม่ และอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร เกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน จากกระเพาะอาหารอักเสบ

ถึงแม้ว่ายาพาราเซตามอลเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง แต่ถ้าใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงคือ ตับถูกทำลาย และตับล้มเหลวซึ่งจะมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง และอาจมีความรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรให้ยาลดไข้เมื่อลูกมีไข้ ตัวร้อน และเช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลด ที่สำคัญการให้ยาต้องให้ในขนาดที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของลูก ไม่ควรใช้ยาลดไข้พาราเซตามอลบ่อยกว่าทุกๆ 4 ชั่วโมง หากให้ยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลด หรือมีไข้ติดต่อกันหลายวัน ควรไปพบคุณหมอเพื่อหาสาเหตุของไข้นะคะ

ขนาดของยาที่ควรใช้

วิธีป้อนยาเด็ก อย่างถูกต้อง เมื่อลูกกินยายาก

การเลือกใช้ยาแต่ละประเภทและการป้อนยาให้เด็กในปริมาณเท่าไรในแต่ละครั้ง คุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณาปริมาณการให้ยาลูกโดยดูจากคำแนะนำข้างกล่อง หรือจากฉลากของยา ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะบอกโดยคร่าวๆ เช่น เด็กอายุต่ำกว่า 2  ปี ควรกินครั้งละ… ช้อนชา เด็กอายุประมาณ…ปีควรกินครั้งละ…ช้อนชา แต่จากคำแนะนำดังกล่าว เป็นเพียงปริมาณการให้ยาโดยเฉลี่ยกับเด็กส่วนใหญ่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เด็กแต่ละคนย่อมมีน้ำหนักที่แตกต่างกันไป แม้ว่าจะอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันก็ตาม

ดังนั้นเวลาไปซื้อยา เภสัชกรจึงมักสอบถามถึงน้ำหนักตัวลูกๆ ของคุณพ่อคุณแม่เป็นหลักก่อน เพื่อสามารถคำนวณปริมาณของตัวยาที่จะให้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยปริมาณหรือขนาดยาที่จะให้แต่ละครั้งก็คือ ตัวยาพาราเซตามอลปริมาณ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวเด็ก 1 กิโลกรัม ดังนั้นไม่ว่าเด็กจะมีอายุเท่าใด หากน้ำหนักตัวเท่าๆ กัน คือ ประมาณ 16 กิโลกรัม ก็ควรจะกินยาเท่ากันคือ ประมาณ 160-250 มิลลิกรัมต่อครั้ง

ทั้งนี้ยาน้ำลดไข้ ก็มีอยู่หลายรูปแบบทั้ง น้ำใส น้ำข้น และแบบหยด ซึ่งปัจจุบันยาน้ำลดไข้แก้ตัวร้อนสำหรับเด็ก ที่มีตัวยาหลักคือ พาราเซตามอลนั้น มีให้เลือกมากมายหลายแบบ ตั้งแต่ยาน้ำเชื่อมใสที่ใช้หยอดใส่ปากเด็ก ยาน้ำเชื่อมใสที่กินเป็นช้อนชา และยาน้ำเชื่อมชนิดข้นที่เภสัชกรเรียกว่ายาน้ำแขวนตะกอน ยาเหล่านี้ยังมีความแรงหรือความเข้มข้นของตัวยาพาราเซตามอลแตกต่างกันออกไป … แต่ที่สำคัญคือ ในการเลือกใช้ ก็ให้เลือกใช้ตามขนาดน้ำหนักตัวของเด็ก และเลือกรสชาติตามความชอบของเด็กแต่ละคน ซึ่งตรงนี้คุณพ่อคุณแม่คงต้องเป็นคนบอกเภสัชกรที่ร้านยาให้ทราบ จะได้หยิบยาได้ถูกใจ 

ส่วนผสมยาน้ำลดไข้

วิธีป้อนยาเด็ก อย่างถูกต้อง เมื่อลูกกินยายาก

ยาน้ำเชื่อมทั่วไปรวมทั้งยาน้ำเชื่อมแบบหยดจะเป็นยาที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมในปริมาณสูง เพื่อช่วยในการกลบรสขมของยา จึงอาจมีผลทำให้เด็กฟันผุได้ง่ายและไม่เหมาะกับเด็กที่มีน้ำหนักตัวมาก และยาลดไข้ที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ไม่ควรมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ คุณแม่สามารถขอแนะนำจากเภสัชกรให้เลือกใช้ยาน้ำสูตรไร้แอลกอฮอล์ Free Alcohol

เวลาการให้ยา ให้อย่างไร ?

ลืมกินยาก่อนอาหาร หลังอาหาร

ลืมกินยาก่อนอาหาร หลังอาหาร

การให้ยาที่ถูกต้องคือทุกๆ 4-6 ชั่วโมง เมื่อหายไข้ให้หยุดยาได้ ตัวพาราเซตามอลเองจะออกฤทธิ์ได้ค่อนข้างช้า ไข้จะลดลงภายหลังรับประทานยาประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างรอให้ยาออกฤทธิ์ ควรระมัดระวังไม่ให้ไข้ขึ้นสูงเกินขนาด ด้วยการหมั่นเช็ดตัวบ่อยๆ หากให้ยาและเช็ดตัวให้แล้วอาการไข้ของลูกยังไม่ลดลง ไม่ควรให้ยาเกิน 5 ครั้งต่อ 1 วัน หรือทำซ้ำอยู่เช่นนั้นเพื่อหวังให้ไข้ลดลง เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตับ และไตจนทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ในกรณีเช่นนี้คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์โดยด่วน

นอกจากการใช้ยาเพื่อช่วยลดไข้ แก้ตัวร้อนให้แก่เด็กแล้ว ขอแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลเด็ก ควรให้เด็กได้พักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำบ่อยๆ และมากๆ และกินอาหารที่มีประโยชน์ และในกรณีที่มีไข้สูง (มากกว่า 39 องศาเซลเซียส) ควรเช็ดตัวให้เด็กอย่างสม่ำเสมอ ในกรณีที่เด็กเคยมีประวัติของโรคลมชักเมื่อไข้สูง ควรได้รับยากันชักตลอดเวลาที่เด็กมีไข้ และในกรณีที่เด็กเคยมีประวัติของโรคหืดหอบ เมื่อเป็นไข้โดยเฉพาะไข้หวัด อาจชักนำให้เด็กมีอาการจับหอบได้ จึงควรระวังในสองกรณีดังกล่าวนี้ด้วย ถ้าเด็กเป็นไข้ติดต่อกันเกินมา 3-5 วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรแนะนำให้พาเด็กไปพบแพทย์

 

ไทลินอล

ที่มา : 1

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เมื่อลูกมีไข้สูง: สิ่งที่ห้ามทำและวิธีลดไข้ที่ถูกต้อง

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

theAsianparent Editorial Team

  • หน้าแรก
  • /
  • Tylenol
  • /
  • ยาลดไข้สำหรับเด็ก เลือกใช้ให้ฉลาดและปลอดภัยเพื่อลูกน้อย
แชร์ :
  • ยาลดไข้เด็ก ยาแก้ไข้เด็ก ใช้ยังไงให้ถูกวิธี ให้ลูกหายป่วยอย่างรวดเร็ว

    ยาลดไข้เด็ก ยาแก้ไข้เด็ก ใช้ยังไงให้ถูกวิธี ให้ลูกหายป่วยอย่างรวดเร็ว

  • แชร์ประสบการณ์ลูกแพ้ยาลดไข้จนปากบวม

    แชร์ประสบการณ์ลูกแพ้ยาลดไข้จนปากบวม

  • ลูกเหงื่อออกตอนนอน สัญญาณโรคร้ายที่พ่อแม่ต้องระวัง

    ลูกเหงื่อออกตอนนอน สัญญาณโรคร้ายที่พ่อแม่ต้องระวัง

  • กรุ๊ปเลือดแม่-ลูกไม่ตรงกัน มีผลกับสุขภาพลูกด้วยหรือ?

    กรุ๊ปเลือดแม่-ลูกไม่ตรงกัน มีผลกับสุขภาพลูกด้วยหรือ?

  • ยาลดไข้เด็ก ยาแก้ไข้เด็ก ใช้ยังไงให้ถูกวิธี ให้ลูกหายป่วยอย่างรวดเร็ว

    ยาลดไข้เด็ก ยาแก้ไข้เด็ก ใช้ยังไงให้ถูกวิธี ให้ลูกหายป่วยอย่างรวดเร็ว

  • แชร์ประสบการณ์ลูกแพ้ยาลดไข้จนปากบวม

    แชร์ประสบการณ์ลูกแพ้ยาลดไข้จนปากบวม

  • ลูกเหงื่อออกตอนนอน สัญญาณโรคร้ายที่พ่อแม่ต้องระวัง

    ลูกเหงื่อออกตอนนอน สัญญาณโรคร้ายที่พ่อแม่ต้องระวัง

  • กรุ๊ปเลือดแม่-ลูกไม่ตรงกัน มีผลกับสุขภาพลูกด้วยหรือ?

    กรุ๊ปเลือดแม่-ลูกไม่ตรงกัน มีผลกับสุขภาพลูกด้วยหรือ?

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
    • ก่อนตั้งครรภ์
    • การคลอด
    • ระยะการตั้งครรภ์
    • การคลอด
  • พัฒนาการลูก
    • ทารก
    • เด็กก่อนเข้าเรียน
    • ช่วงวัยของเด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • การวางแผนการเงิน
    • การเลี้ยงลูก
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • นมแม่และนมผง
  • โภชนาการ
    • สินค้าเด็ก
    • นมผง
    • เมนูอาหาร
    • สินค้าแม่
  • เพิ่มเติม
    • TAP สังคมออนไลน์
    • ติดต่อโฆษณา
    • ติดต่อเรา
    • Influencer Marketing (KOL)
    • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Sri-Lanka flag Sri Lanka
  • India flag India
  • Vietnam flag Vietnam
  • Australia flag Australia
  • Japan flag Japan
  • Nigeria flag Nigeria
  • Kenya flag Kenya
© Copyright theAsianparent 2023. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

theAsianparent heart icon
เราต้องการส่งแจ้งเตือนข้อมูลข่าวสารไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจไปให้กับคุณ