ดื่มกาแฟ ตั้งครรภ์ยาก ผู้ชายอสุจิลด อยากท้องต้องงดดื่ม!!
มีผลวิจัยชี้ว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยให้สมรรถภาพทางเพศของคุณผู้ชายดีขึ้น มีโอกาสสมหวังที่จะมีลูก แต่อีกด้านหนึ่งการดื่มกาแฟในปริมาณมากกลับส่งผลเสีย ทำให้ตั้งครรภ์มีบุตรยาก
ผลวิจัยชี้ผู้หญิงดื่ม กาแฟ ตั้งครรภ์ยาก ผู้ชายอสุจิลด มีลูกยากเรื่อง “การดื่ม” ก็มีเอี่ยวด้วย!!
ได้มีผลวิจัยโรงพยาบาลกลางมลรัฐแมสซาชูเซตส์ที่ได้จากการเก็บข้อมูลระหว่างปี 2550-2556 พบว่า สามีที่ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนประมาณ 265 มิลลิกรัมต่อวัน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะมีบุตรยาก มีความเสี่ยงที่จะทำให้ภรรยาตั้งครรภ์ได้ยากขึ้น เนื่องจากการกินกาแฟในปริมาณที่มากทำให้หลั่งอสุจิได้น้อยลง โดยปริมาณการดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มคาเฟอีนที่เหมาะควรอยู่ที่ 88 มิลลิกรัมต่อวัน
สำหรับคุณที่ผู้หญิงที่ชอบกินกาแฟเป็นประจำทุกวัน นักวิจัยชาวดัตช์ได้ออกมาเตือนสำหรับคนที่อยากเป็นคุณแม่ การดื่มกาแฟเกินวันละ 4 แก้ว โอกาสมีบุตรลดลง 25% ยิ่งหากดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือมีน้ำหนักตัวมากเกิน โอกาสตั้งครรภ์ยิ่งเหลือน้อย
ซึ่งยังมีผลวิจัยที่นำเสนอหลายชิ้นระบุว่ากาแฟเป็นอันตรายต่อการเจริญพันธุ์และทารกในครรภ์ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า สำหรับแม่ตั้งครรภ์การกินกาแฟมากกว่า 2 แก้ว เพิ่มโอกาสเสี่ยงเป็น 2 เท่าที่จะแท้งลูก และงานวิจัยบางชิ้นยังพบว่า กาแฟเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่ทารกจะตายคลอดหรือพิการแต่กำเนิด
ด้านศาสตราจารย์บิล เลดเจอร์ แพทย์ชาวอังกฤษผู้เชี่ยวชาญเรื่องการมีบุตรแห่งมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ กล่าวไว้ว่า ทั้งเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ สารเสพติด และน้ำหนักตัวที่มากเกินไปนั้น ถือเป็น “พิษ” ต่อเซลล์ไข่ของผู้หญิง ซึ่งเป็นปัญหาที่จะทำให้มีลูกยากหรือโอกาสตั้งครรภ์จะยิ่งน้อยลง และกาแฟหรือเครื่องดื่มคาเฟอีนนั้นก็จะส่งผลเสียต่อสเปิร์มของคุณผู้ชายเช่นเดียวกัน
ดังนั้นสำหรับคู่สามีภรรยาที่อยากมีลูก หากหลีกเลี่ยงการบริโภคกาแฟได้ทั้งคุณแม่และคุณพ่อ ก็จะลดความเสี่ยงตั้งครรภ์ยาก หรือคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ก็ไม่ควรกินชากาแฟมากเกินไป หรือดื่มเพียง 1-2 ถ้วยต่อวัน ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพกันทุกคนนะคะ
กาแฟ หนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมที่หลายคนดื่มในยามเช้าหรือยามง่วงนอน เพื่อปลุกสมองให้ตื่นตัว คลายความเหนื่อยล้าทั้งทางกายและทางจิตใจ และนอกจากประโยชน์ที่คุ้นเคยกันนี้ เชื่อว่ากาแฟยังอาจมีประโยชน์ทางการแพทย์ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ป้องกันโรคพาร์กินสัน โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เก๊าท์ อัลไซเมอร์ หืด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม เป็นต้น
ทั้งนี้สรรพคุณทางการแพทย์และทางสุขภาพของกาแฟนั้นเชื่อว่ามาจากคาเฟอีน สารกระตุ้นที่พบได้สูงจากกาแฟที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง หัวใจ และกล้ามเนื้อ การศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกาแฟในการป้องกันและรักษาโรคส่วนใหญ่จึงมุ่งไปที่สารคาเฟอีนในกาแฟเป็นหลัก โดยกาแฟสำเร็จรูปโดยทั่วไป 1 แก้วประกอบด้วยคาเฟอีนประมาณ 85-100 มิลลิกรัม แต่หากเป็นกาแฟชงสดจะมีคาเฟอีน 100-150 มิลลิกรัมต่อแก้ว ส่วนกาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีนนั้นก็ยังคงมีคาเฟอีนประมาณ 8 มิลลิกรัมต่อแก้ว ทั้งนี้กาแฟที่ผ่านกระบวนการคั่วจนเข้มจะมีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟสีอ่อน
ประโยชน์ของกาแฟที่มีต่อสุขภาพ
ประโยชน์ที่น่าจะได้ผล (Likely effective)
- เพิ่มความตื่นตัวของสมอง
การดื่มกาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทั้งหลายตลอดวันดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความตื่นตัวของร่างกายและสมอง ปลุกความสดชื่นให้สมองปลอดโปร่ง โดยหลายงานวิจัยชี้ว่าการได้รับคาเฟอีนสามารถช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าในระหว่างวัน เช่น การศึกษาหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมทดลองสุขภาพดีรับคาเฟอีน 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ตอน 9 โมงเช้าและบ่ายโมง เป็นเวลานาน 3 วัน ซึ่งพบว่าคาเฟอีนช่วยลดความง่วง เพิ่มความตื่นตัวและความจดจ่อในช่วงระหว่างวันได้ดี
นอกจากนี้กาแฟยังเป็นตัวเลือกของผู้ที่อดนอนหรือนอนไม่เต็มอิ่มในคืนก่อนแล้วยังต้องการความตื่นตัวในวันต่อไป มีการศึกษาประสิทธิภาพของการดื่มกาแฟในชายสุขภาพดีที่อดนอนเป็นเวลา 48 ชั่วโมง พบว่าคาเฟอีนช่วยเพิ่มความตื่นตัวและคลายความอ่อนล้าจากการอดนอนได้อย่างดี ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการศึกษาพบว่าการผสมคาเฟอีนเข้ากับน้ำตาลเป็นเครื่องดื่มชูกำลังยังน่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้ความคิดและการทำงานของสมองได้มากกว่าการได้รับกลูโคสหรือคาเฟอีนเพียงอย่างเดียว
ประโยชน์ที่อาจได้ผล (Possibly effective)
- ป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคพาร์กินสัน
ภาวะอาการที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวผิดปกติและมีอาการสั่นตามร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้เนื่องจากการเสื่อมหรือเสียหายของเซลล์สมองชนิดนี้ งานวิจัยพบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนอย่างกาแฟ ชา และน้ำอัดลมเป็นประจำนั้นมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคได้ การศึกษาหนึ่งที่สนับสนุนสรรพคุณข้อนี้ของคาเฟอีน ทดลองให้อาสาสมัคร 317 คนดื่มกาแฟและเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีคาเฟอีน ผลลัพธ์พบว่าการได้รับคาเฟอีนในปริมาณสูงมีความสัมพันธ์กับอัตราความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสันที่น้อยลงทั้งในเพศชายและเพศหญิง
ทั้งนี้จากงานวิจัยทั้งหมดที่มี ประสิทธิภาพของคาเฟอีนในการลดความเสี่ยงโรคพาร์กินสันในเพศชายจะขึ้นอยู่กับปริมาณกาแฟที่ได้รับ โดยการดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน 3-4 แก้วต่อวันนั้นพบว่าช่วยให้ความเสี่ยงลดน้อยลงมาก แต่การดื่มเพียง 1-2 แก้วต่อวันก็ช่วยลดอัตราเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
สำหรับผู้หญิง ปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับไม่ได้มีผลต่อระดับความเสี่ยงมากนัก โดยการดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน 1-3 แก้วต่อวันจะให้ผลดีที่สุดในการรับมือกับโรคพาร์กินสัน นอกจากนี้ผลการศึกษาที่น่าสนใจยังพบว่าการดื่มกาแฟจะไม่มีผลต่อการลดโอกาสเสี่ยงจากโรคนี้ในผู้ที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ทั้งเพศชายและเพศหญิง
- ป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี
การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างกาแฟอย่างน้อยวันละ 400 มิลลิกรัมดูเหมือนจะมีส่วนช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้ โดยจากการศึกษาในผู้ที่ไม่เคยมีประวัติป่วยด้วยโรคนิ่วในถุงน้ำดีมาก่อนจำนวนหลายพันคน ปรากฏว่าความเสี่ยงต่อโรคทั้งชายและหญิงจะยิ่งลดลงเมื่อได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่มากขึ้น โดยการดื่มกาแฟวันละ 800 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่ากับกาแฟประมาณ 4 แก้วขึ้นไปต่อวันจะให้ผลดีในการป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ดีที่สุด
- ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง
งานวิจัยหนึ่งที่มีผู้เข้าร่วมทดลอง 5,145 คน ดื่มกาแฟวันละ 1 หน่วยบริโภค วันละไม่เกิน 2 หน่วยบริโภค วันละ 2-2.5 หน่วยบริโภค หรือวันละ 2.5 หน่วยบริโภคขึ้นไป ผลการศึกษาชี้ว่าปริมาณการดื่มกาแฟที่มากขึ้นจะยิ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง และยังมีบางงานวิจัยที่กล่าวแนะนำประสิทธิภาพของกาแฟต่อการป้องกันโรคนี้ว่าการรับประทานกาแฟวันละ 3 แก้วอาจช่วยลดโอกาสเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงได้อย่างมีนัยสำคัญ
ทว่าผลการศึกษาที่เป็นไปในทางตรงข้ามก็มีเช่นกัน โดยมีการรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นก่อนหน้างานวิจัยข้างต้น ผลสรุปว่าการบริโภคกาแฟหรือชาที่มีคาเฟอีนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง แต่การบริโภคกาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีนแล้วต่างหากที่มีความสัมพันธ์กับอัตราการเกิดโรคที่ลดลง ผลการศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณในด้านนี้ของกาแฟจึงยังมีความขัดแย้งและไม่อาจสรุปได้ชัดเจน
- ป้องกันโรคเบาหวาน
จากการศึกษาประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 กาแฟอาจมีส่วนช่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น งานวิจัยหนึ่งที่ศึกษากับผู้ที่ไม่มีโรคเบาหวาน มะเร็ง หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด แล้วพบว่าการดื่มกาแฟในระยะยาวมีส่วนช่วยยับยั้งการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างมีนัยสำคัญ หรือการทดลองในกลุ่มผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ที่พบว่าการดื่มกาแฟโดยไม่ใส่น้ำตาลหรือครีมเทียมอย่างน้อยวันละ 3 ครั้งต่อวันให้ผลดีที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานในกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรค
ทั้งนี้การศึกษาเกี่ยวกับการใช้กาแฟป้องกันโรคเบาหวานที่มีนั้นยังพบว่าปริมาณที่ให้ผลดีมีความแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มประเทศ เช่น จากการศึกษาในชาวญี่ปุ่น ผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วขึ้นไปจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ลดลง 42 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มกาแฟเพียงวันละ 1 แก้วหรือน้อยกว่า หรือในยุโรปที่พบว่าการรับประทานกาแฟวันละ 5-6 แก้วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานในเพศชาย 30 เปอร์เซ็นต์ และเพศหญิง 61 เปอร์เซ็นต์ กาแฟจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ได้อย่างไร ควรรับประทานเท่าใดจึงจะปลอดภัยนั้นยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
ประโยชน์ที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอจะระบุประสิทธิภาพ
ป้องกันโรคเก๊าท์ บางงานวิจัยแนะนำว่าการดื่มกาแฟอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคเก๊าท์ได้ การศึกษาหนึ่งที่สนับสนุนคุณประโยชน์ด้านนี้ของกาแฟทำการทดลองในหญิงและชายจำนวนมาก โดยแบ่งกลุ่มให้ดื่มกาแฟปกติที่มีคาเฟอีน กาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีน ชา และคาเฟอีนอย่างเดียว เป็นเวลานานกว่า 4 ปี ปรากฏว่าการบริโภคกาแฟในระยะยาวมีส่วนช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคเก๊าท์ได้ และพบว่าส่งผลให้ระดับกรดยูริกซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคลดต่ำลง
ทั้งนี้จากการศึกษาไม่พบว่าการดื่มชาหรือคาเฟอีนเพียงอย่างเดียวมีคุณสมบัติป้องกันโรคเก๊าท์ แต่เมื่อเทียบระหว่างกาแฟที่มีคาเฟอีนกับกาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีนแล้ว กาแฟที่มีคาเฟอีนยังคงให้ผลดีกว่าอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของกาแฟในด้านนี้ยังนับว่ามีข้อมูลไม่เพียงพอ ทำให้ไม่อาจยืนยันประสิทธิภาพของการรักษาได้แน่ชัด
-
ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
มีการกล่าวถึงสรรพคุณของคาเฟอีนต่อการชะลอภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์กันมาก การดื่มกาแฟจะให้ผลดีจริงหรือไม่นั้นก็ยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากยังมีการทดลองในด้านนี้ไม่มากนัก ทั้งนี้ได้มีการทบทวนการศึกษาที่ผ่านมา ซึ่ง 3 ใน 5 ให้การสนับสนุนประโยชน์ของกาแฟในการป้องกันภาวะสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ แต่ 2 ใน 3 งานนั้นเป็นการศึกษาโดยใช้ชาผสมกับกาแฟ ซึ่งคุณประโยชน์ของชาในด้านนี้ก็ยังคลุมเครืออยู่เช่นกัน ส่วนงานวิจัยเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของกาแฟและโรคนี้โดยตรง กล่าวว่าการดื่มกาแฟวันละ 3-5 แก้วตั้งแต่ในช่วงวัยกลางคนอาจมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ในวัยสูงอายุที่ลดลงประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์
- ลดอาการปวดศีรษะและไมเกรน
หนึ่งในคำแนะนำสำหรับวิธีบรรเทาอาการปวดศีรษะที่อาจเคยได้ยินบ่อยครั้งก็คือการดื่มกาแฟ สาเหตุอาจมาจากการที่คาเฟอีนนั้นมักถูกใช้เป็นส่วนผสมในยาบรรเทาอาการปวดบางชนิด โดยอาจช่วยให้ยามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ทว่าการรับประทานกาแฟที่มีคาเฟอีนนั้นจะช่วยให้หายจากอาการปวดศีรษะได้จริงอย่างที่เชื่อกันหรือไม่ ทางวิทยาศาสตร์เองยังไม่พบคำตอบในเรื่องนี้ ตรงกันข้าม ยังคาดว่าคาเฟอีนอาจเป็นตัวการให้เกิดอาการปวดศีรษะเสียเองได้เช่นกัน
-
ลดความตึงเครียด
ว่ากันว่าการดื่มกาแฟช่วยลดความตึงเครียด แต่หลักฐานการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสรรพคุณลดความเครียดของกาแฟนั้นไม่ยังไม่พบแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่าการได้รับคาเฟอีนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าในเด็กชั้นมัธยมอีกด้วย
-
ดีต่อสุขภาพหัวใจ
ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ากาแฟให้คุณหรือให้โทษต่อหัวใจกันแน่ โดยเชื่อว่าในกาแฟนั้นอาจมีสารที่สามารถให้ทั้งประโยชน์และโทษต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด บางงานวิจัยกล่าวว่ากาแฟอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และอีกหลาย ๆ งานที่แนะนำว่าการดื่มกาแฟในปริมาณปานกลางสามารถป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ นักวิจัยบางคนจึงคาดว่ากาแฟอาจประกอบด้วยสารอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น
-
ควบคุมน้ำหนัก
กล่าวกันว่ากาแฟสามารถช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วนได้ สำหรับประโยชน์ของกาแฟในด้านนี้ มีการศึกษาบางงานที่แนะนำว่าการดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกวันอาจมีส่วนช่วยควบคุมและลดน้ำหนัก หรือในอีกงานวิจัยหนึ่งที่พบว่ากาแฟหรือคาเฟอีนในกาแฟอาจไปช่วยกระตุ้นอัตราการเผาผลาญและส่งผลให้ทั้งผู้ที่มีน้ำหนักปกติและผู้ที่มีภาวะอ้วนมีน้ำหนักตัวลดลงได้ อย่างไรก็ตาม การศึกษาเหล่านี้ยังเป็นเพียงงานวิจัยที่ทดลองในคนจำนวนไม่มากและมีข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ยังเชื่อถือได้ไม่มากพอ
-
รักษาโรคหืด
อีกคุณประโยชน์ของกาแฟที่ยังเป็นที่สงสัยว่าจะมีประสิทธิภาพต่อการรักษาได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจากการศึกษาที่รวบรวมงานวิจัยด้านนี้ พบว่าคาเฟอีนอาจช่วยให้การทำงานของระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วยโรคนี้ดีขึ้นได้ปานกลางนานถึง 4 ชั่วโมง และอาจต้องแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการได้รับคาเฟอีนก่อนการตรวจการทำงานของปอดเป็นเวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมง เนื่องจากคาเฟอีนอาจทำให้ผลลัพธ์การตรวจคลาดเคลื่อนได้ คาดว่าหากในอนาคตมีการศึกษาเพิ่มเติมคงได้ทราบกันว่ากาแฟส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคหืดจริงหรือไม่
-
รักษาโรคตับ
การดื่มกาแฟอาจยังให้ผลดีต่อผู้ป่วยโรคตับ โดยมีการทบทวนงานวิจัยที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากการสรุปข้อมูลที่พบในปัจจุบัน งานวิจัยบางงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟอาจมีความสัมพันธ์กับระดับเอนไซม์ตับและผลตรวจการทำงานของตับที่ดียิ่งขึ้นในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคตับทั้งหลาย
ส่วนการดื่มกาแฟในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังนั้นอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็ง ลดอัตราการเกิดเซลล์มะเร็งตับ และการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคตับแข็ง นอกจากนี้ ด้านการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี กาแฟก็อาจมีประโยชน์ในการช่วยให้ผลการรักษาระยะยาวดีขึ้น ทว่าผลการศึกษาทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ากาแฟจะมีประโยชน์ทางการแพทย์มากพอที่จะนำมารักษาผู้ป่วยโรคตับได้
อ้างอิง :https://news.voicetv.co.thและwww.thaihealth.or.th
บทความอื่นที่น่าสนใจ :
“ติดกาแฟ” จะส่งผลต่อลูกที่กินนมแม่หรือไม่
ดื่มกาแฟ ทำให้หน้าอกเล็กลง มีผลด้วยหรือนี่?