ลูกยังไม่พูด ต้องพาไปหาหมอไหม? 3 วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด ทำเลยได้ผลจริง!

undefined

ลูกยังไม่พูด ต้องพาไปหาหมอไหม เข้าใจพัฒนาการทางภาษาในเด็กแต่ละช่วงวัย สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต และวิธีกระตุ้นให้ลูกพูดที่ได้ผลจริง

พัฒนาการด้านภาษาและการพูดของเด็กเป็นเรื่องที่พ่อแม่หลายคนให้ความสำคัญ เมื่อลูกน้อยยังไม่เริ่มพูด หรือพูดได้ช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน คุณแม่หลายคนอาจกังวลและสงสัยว่า ลูกยังไม่พูด ต้องพาไปหาหมอไหม เมื่อไหร่ถึงเวลาที่ควรพาไปปรึกษาคุณหมอ บทความนี้จะช่วยให้คุณแม่เข้าใจถึงพัฒนาการทางภาษาที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต และแนวทางในการกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาที่ได้ผลจริงค่ะ 

 

พัฒนาการทางภาษาและการพูดที่สำคัญในแต่ละช่วงวัย

ก่อนที่จะตอบคำถาม ลูกยังไม่พูด ต้องพาไปหาหมอไหม อยากให้เรามาทำความเข้าใจพัฒนาการทางภาษาและการพูดของเด็กกันก่อนค่ะ แม้เด็กแต่ละคนจะมีจังหวะการเรียนรู้แตกต่างกันไป แต่ก็มีช่วงเวลาที่เด็กส่วนใหญ่จะแสดงพัฒนาการทางภาษาและคำพูดที่สำคัญออกมา เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “พัฒนาการตามวัย” (Developmental Milestones) ซึ่งจะช่วยให้คุณแม่พอจะสังเกตได้ว่าลูกน้อยกำลังเติบโตไปในทิศทางที่เหมาะสมหรือไม่นะคะ

มาดูกันว่าในแต่ละช่วงวัย ลูกน้อยของคุณแม่ควรมีพัฒนาการด้านภาษาและการพูดแบบไหนบ้างนะคะ

พัฒนาการทางภาษาของเด็กแต่ละช่วงวัย

แรกเกิด – 6 เดือน: ฟังและส่งเสียงอ้อแอ้
  • ลูกจะเริ่ม หันตามเสียงเรียก หรือเสียงดัง
  • สบตาและยิ้มตอบ เมื่อคุณแม่พูดคุยด้วย
  • ส่งเสียง “อ้อแอ้” (เช่น อา…อู…) และเริ่ม เลียนเสียงง่ายๆ (เช่น บา…บา…บา)
6 เดือน – 12 เดือน: สื่อสารด้วยเสียงและท่าทาง
  • พยายาม เลียนเสียง ที่คุณแม่พูด
  • หันตามเมื่อเรียกชื่อ และส่งเสียงตอบรับ
  • ทำท่าทางง่ายๆ เช่น โบกมือ “บ๊ายบาย” หรือชี้สิ่งของ
  • เข้าใจคำสั่งง่ายๆ เช่น “มานี่” “เอาบอลมา”
12 เดือน – 18 เดือน: พูดคำแรกที่มีความหมาย
  • เริ่มพูดคำแรกที่มีความหมาย เช่น “แม่” “พ่อ” “นม” (ประมาณครึ่งหนึ่งของเด็กจะพูดได้เมื่อ 12 เดือน และส่วนใหญ่จะพูดได้เมื่อ 18 เดือน)
  • ชี้สิ่งที่ต้องการ แทนการร้องไห้
  • เข้าใจคำศัพท์เพิ่มขึ้น แม้จะยังพูดไม่ได้ทุกคำ
18 เดือน – 24 เดือน: พูด 2 คำต่อกัน
  • เริ่มพูดได้ 2 คำต่อกัน เช่น “กินข้าว” “หิวนม” (ประมาณครึ่งถึง 70% ของเด็กวัยนี้จะพูดได้)
  • ทำตามคำสั่ง 2 ขั้นตอน ได้ เช่น “หยิบลูกบอลให้แม่แล้วเอาไปใส่ตะกร้า”
  • รู้จักชื่อสิ่งของและอวัยวะ ต่างๆ
  • มีคลังคำศัพท์ประมาณ 50-100 คำ
24 เดือน – 36 เดือน (2 – 3 ขวบ): สนทนาเป็นประโยค
  • พูดเป็นประโยคได้ ส่วนใหญ่เป็นประโยค 3-4 คำ และค่อยๆ ยาวขึ้น
  • สนทนาโต้ตอบได้ เริ่มถามและตอบคำถามง่ายๆ
  • เข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อนขึ้น
  • เริ่ม เล่าเรื่องง่ายๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

ลูกยังไม่พูด ต้องพาไปหาหมอไหม

 

ลูกยังไม่พูด ต้องพาไปหาหมอไหม

หากสังเกตว่าพัฒนาการทางภาษาของลูกไม่เป็นไปตามวัย นี่คือสิ่งที่คุณแม่ควรเฝ้าระวังและพิจารณาปรึกษาคุณหมอค่ะ

ลูกยังไม่พูด ต้องไปหาหมอไหม

ลูกไม่สบตา หรือไม่สนใจเมื่อถูกเรียกชื่อ แม้จะเรียกชื่อลูกหลายครั้ง ลูกก็ไม่หันมามองหรือไม่ตอบสนองเลย
ไม่ส่งเสียงอ้อแอ้/ไม่เลียนเสียง เมื่อลูกอายุเกิน 6-9 เดือนไปแล้ว แต่ยังไม่มีเสียงอ้อแอ้ หรือไม่พยายามเลียนแบบเสียงที่คุณแม่พูด
ไม่พูดคำแรกที่มีความหมาย เมื่อลูกอายุ 15-18 เดือนขึ้นไป แต่ยังไม่พูดคำที่มีความหมาย เช่น “แม่” “พ่อ” “หม่ำ”
ไม่พูด 2 คำต่อกัน เมื่อลูกอายุ 24 เดือน (2 ขวบ) ขึ้นไป แต่ยังไม่สามารถพูดคำที่มีความหมาย 2 คำต่อกันได้ เช่น “กินข้าว” “ไปเที่ยว”
ไม่มีการใช้ท่าทางสื่อสาร ลูกไม่พยายามชี้สิ่งที่ต้องการ ไม่โบกมือ “บ๊ายบาย” หรือไม่แสดงท่าทางง่ายๆ เพื่อสื่อสาร
ไม่เข้าใจคำสั่งง่ายๆ แม้จะเป็นคำที่คุณแม่พูดบ่อยๆ หรือเป็นคำสั่งง่ายๆ เช่น “มานี่” “หยิบให้แม่” ลูกก็ไม่เข้าใจหรือไม่ทำตาม
พัฒนาการด้านอื่นๆ ล่าช้าควบคู่ไปด้วย เช่น การเคลื่อนไหว (คลาน เดิน) หรือการเข้าสังคม (ไม่เล่นกับคนอื่น ไม่สนใจเด็กคนอื่น) มีความล่าช้าไปพร้อมๆ กัน
ลูกดูเหมือนไม่ได้ยินเสียง สังเกตว่าลูกไม่ตอบสนองต่อเสียงดัง หรือไม่สนใจเมื่อคุณแม่พูดคุยด้วยในระยะปกติ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงปัญหาการได้ยิน
พัฒนาการถดถอย ลูกเคยพูดได้แล้ว แต่กลับไม่พูดอีก หรือพูดน้อยลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

 

หากลูกมีสัญญาณที่น่ากังวลตามที่ยกตัวเอย่างข้างต้น ควรรีบพาไปลูกพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ลูกได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสมและมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้ค่ะ

 

ลูกยังไม่พูด ต้องพาไปหาหมอไหม

สาเหตุที่พบบ่อย เมื่อลูกน้อยพูดช้า

มาดูกันว่าสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ ลูกยังไม่พูด มีอะไรบ้าง

  • ปัญหาการได้ยิน

สาเหตุสำคัญอันดับแรกที่ต้องตรวจเช็คเลยค่ะ หากลูกได้ยินไม่ชัดเจนหรือไม่เลย ก็จะทำให้เขาเรียนรู้คำพูดและการออกเสียงได้ยากนั่นเอง 

  • ความผิดปกติของช่องปากและลิ้น

บางครั้งปัญหาอาจอยู่ที่โครงสร้างในช่องปากของลูกเอง เช่น ลิ้นติด เพดานปากโหว่ กล้ามเนื้อลิ้นหรือปากไม่แข็งแรงพอ เป็นต้น

  • ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา

ถ้าลูกมีพัฒนาการด้านสติปัญญาที่ล่าช้า ก็อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านภาษาและการพูดโดยรวมด้วยค่ะ เพราะความสามารถในการเรียนรู้และทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ช้าลง

  • ภาวะออทิสติก

เด็กกลุ่มนี้มักจะมีปัญหาหลักๆ ด้านการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมค่ะ ทำให้การพูดคุยโต้ตอบกับคนอื่นเป็นเรื่องยาก หรือบางคนก็อาจไม่มีการพูดเลย

  • ภาวะล่าช้าทางพัฒนาการด้านภาษา

ในหลายกรณี ลูกก็แค่ “พูดช้า” โดยที่ไม่มีสาเหตุทางการแพทย์ที่ชัดเจนอื่นๆ ค่ะ เด็กกลุ่มนี้จะเข้าใจภาษาได้ปกติ แต่ยังพูดไม่ได้ตามวัยที่ควรจะเป็น ซึ่งหลายคนก็สามารถพัฒนาการพูดตามทันได้เมื่อโตขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม

  • สภาพแวดล้อมที่ไม่กระตุ้น

ถ้าลูกขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับคุณแม่และคนในครอบครัว ขาดโอกาสในการพูดคุย เล่น หรือถูกปล่อยให้ดูจอ ดูสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต) มากเกินไป ก็อาจทำให้พัฒนาการด้านภาษาช้าลงได้ เพราะสมองไม่ได้รับการกระตุ้นให้เรียนรู้และใช้ภาษาอย่างเพียงพอ

 

ลูกยังไม่พูด ต้องพาไปหาหมอไหม

 

3 วิธีง่ายๆ กระตุ้นพัฒนาการทางภาษาของลูกน้อย

1. “เล่าเรื่อง” ให้ลูกฟังบ่อยๆ ไม่ใช่แค่ “ถามคำถามเพื่อกระตุ้นให้ลูกพูด” 

เพราะการพูดคุยกับลูก หัวใจสำคัญคือ การเล่าเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า ไม่ใช่แค่คอยถามว่า “อะไรนะ?” “อยากกินอะไร?” แต่ลองเปลี่ยนเป็น “ตอนนี้แม่กำลังล้างจานอยู่จ้ะ เสียงน้ำไหลซู่ๆ เลย” หรือ “ลูกใส่เสื้อสีแดงนี่นา สวยจังเลย!”

วิธีนี้ลูกจะซึมซับคำศัพท์และโครงสร้างประโยคไปโดยไม่รู้ตัว แม้ลูกจะยังไม่ตอบกลับ แต่สมองเขากำลังประมวลผลและสร้างคลังคำศัพท์ภายในใจ การที่ลูกได้ยินคุณแม่พูดบ่อยๆ ด้วยประโยคที่หลากหลาย จะช่วยให้เขาเข้าใจความหมายของคำและวิธีใช้ภาษาในสถานการณ์จริง ยิ่งคุณแม่พูดมากเท่าไหร่ ลูกก็ยิ่งมีโอกาสเรียนรู้มากขึ้นเท่านั้นค่ะ

2. อ่านนิทานให้ลูกฟังทุกวัน

กิจกรรมง่ายๆ อย่างการอ่านนิทานก่อนนอน หรืออ่านตอนไหนก็ได้ที่ลูกสนใจ จะช่วยเปิดโลกแห่งภาษาให้ลูกค่ะ โดยเคล็ดลับคือ

  • เลือกหนังสือนิทานเล่มบางๆ มีภาพประกอบชัดเจน สีสันสดใส เพราะเด็กเล็กจะสนใจภาพมากกว่าตัวหนังสือ
  • อ่านซ้ำๆ เล่มเดิมก็ได้เด็กๆ ชอบความคุ้นเคย และการอ่านซ้ำช่วยให้เขาจดจำคำศัพท์และเรื่องราวได้ดีขึ้น
  • อ่านด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น สนุกสนาน มีเสียงสูงต่ำตามอารมณ์ของตัวละคร ไม่จำเป็นต้องแปลหรือสอนความหมายของทุกคำ แค่คุณแม่แสดงความรักและความสุขผ่านน้ำเสียง ลูกก็จะเชื่อมโยงการอ่านกับความรู้สึกดีๆ และอยากฟังมากขึ้นค่ะ

การอ่านนิทานเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้ฟังคำศัพท์ใหม่ๆ ประโยคที่หลากหลาย และสร้างความเข้าใจในเรื่องราว นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างช่วงเวลาคุณภาพที่คุณแม่กับลูกได้ใกล้ชิดกัน เสริมสร้างความผูกพัน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการสื่อสารที่ดีค่ะ

3. ลด “มือถือ” เพิ่ม “การเล่น” กับคนจริงๆ 

เทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องผิด แต่การที่ลูกจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตนานๆ อาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการด้านภาษาได้

เมื่อลูกดูสื่อจากจอ ลูกจะได้รับเสียงและภาพแบบ “ทางเดียว” คือลูกเป็นผู้รับข้อมูลอย่างเดียว ไม่มีการโต้ตอบกลับ ต่างจากการเล่นกับคุณแม่ พ่อ หรือคนอื่นๆ ที่ลูกจะได้ใช้ประสาทสัมผัสครบวงจร ทั้งการ สบตา ที่สำคัญต่อการสื่อสาร การได้ยินเสียง ที่มีชีวิตชีวา การสัมผัส และที่สำคัญที่สุดคือ การมี “หัวใจ” ที่เชื่อมโยงกันค่ะ การเล่นกับคนจริงๆ จะกระตุ้นให้ลูกต้องสื่อสาร โต้ตอบ พยายามพูด หรือใช้ท่าทางเพื่อบอกความต้องการ ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ภาษาที่แท้จริงและมีประสิทธิภาพกว่ามาก

และที่สำคัญ อย่าเปรียบเทียบลูกกับใคร! เพราะเด็กทุกคนมีจังหวะการเติบโตที่แตกต่างกัน การเปรียบเทียบมีแต่จะสร้างความกังวลให้คุณแม่และอาจทำให้ลูกรู้สึกกดดันค่ะ ขอให้คุณแม่มั่นใจในศักยภาพของลูก และสนุกไปกับการส่งเสริมพัฒนาการของเขาอย่างเต็มที่นะคะ

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

สอนลูกพูด ยังไงดี? 9 วิธีสอนลูกพูด เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา

ลูกพูดช้าสุดกี่ปี วิธีง่ายๆ กระตุ้นให้ลูกพูด ทำยังไงให้ลูกพูดเร็ว

7 คำพูดที่ลูกอยากได้ยินจากพ่อแม่ คำพูดฮีลใจ พูดให้ลูกฟังบ่อยๆ นะ

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!